คลิปที่ 1
คลิปที่ 2
คำว่า “การเป็นทาส” สร้างภาพลักษณ์ของการเป็นอดีต ที่ดูหมื่อนสิ่งเหล่านี้หมดไปจากโลกสมัยใหม่ แต่ทุกวันนี้ผู้คนตกเป็นทาสมากกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญได้คำนวณว่าประมาณ 13 ล้านคนถูกจับไปขายเป็นทาสระหว่างศตวรรษที่ 15 ถึง 19; แต่วันนี้ ผู้คนประมาณ 40.3 ล้านคน มากกว่าสามเท่าของตัวเลขในประวัติศาสตร์ อาศัยอยู่ในรูปแบบของการเป็นทาสสมัยใหม่ ตามตัวเลขล่าสุดที่เผยแพร่โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (ILO) และมูลนิธิวอล์กฟรี
โลกใบนี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ ที่อยู่ในความมืด ไม่เปิดเผยตัวตนแต่เป็นผู้อยู่เบื่องหลังหลายๆ เหตุการที่ไม่ยุติธรรมต่างๆ ของโลก มานานแสนนาน นับหลายร้อย หลายพันปี ซึ่งตระกูลที่ควบคุมมักส่งต่ออำนาจให้ลูกหลาน และขยายฐานอำนาจของตนเป็นวงที่กว้างด้วยเครื่อข่าย สังคมลับที่เรียกว่า Secret Soceity มากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่พวกเราต้องเข้าใจคือ
มีกลุ่มคนต้องการทำให้เราเป็นทาสรับใช้จริง “มันคือเรื่องจริง”
การที่จะควบคุมจำนวนคนเป็นพันล้านๆ คนนั้น ไม่สามารถทำได้หากไม่มีระบบ หากคุณศึกษาประวิติศาสตร์ คุณจะเห็นว่ากลุ่มคนชนชั้นสูงกดขี่มนุษย์มาโดยตลอกไม่ว่าจะเป็น ยุคสมัยที่ ทำคนผิวสีเป็นทาส การควบคุมสตรีเป็นผู้รับใช้ การค้ามนุษย์ทางเพศ การใคร่เด็ก ซึ่งจำนวนเด็กที่ถูกลักพาตัวหายไปในแต่ละปีนั้นถูกส่งไปยังคนกลุ่มชนชั้นสูงเหล่านี้ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดคือกลุ่มชนชั้นสูงที่เรียกว่า อีลีต
พวกเขามักแต่งตั้งบุคคลให้เป็นหน้าม้า และสร้างชื่อเสียง ความร่ำรวย ให้กับพวกเขา เช่นอภิมหาเศรษฐีของโลกทั้งหลาย นักการเมือง ผู้นำศาสนา ผู้นำองกรณ์ต่างๆ ระดับโลก และด้านอื่นๆ มากมาย และให้คนเหล่านี้มามีบทบาทพลักดันวาระต่างๆ ที่อีลีตต้องการ
ทุกวันนี้พวกเขามีอำนาจควบคุมแทบทุกอย่าง มากกว่าที่เราจินตนาการได้ และ สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะเขาใช้การควบคุมยุคสมัยใหม่ ไม่ได้คุมทางกายภาพ แต่เป็นการควบคุมทางจิตวิทยา การเงิน อำนาจ เศรษฐกิจ และอื่นๆ ที่มีพวกเราอยู่ในระบบ ภายใต้การควบคุมของพวกอีลีต
ในบทความนี้ ผมอธิบายวิธีการควบคุมทางจิตวิทยาว่าเขาทำอะไร อย่างไร เริ่มจากกลยุทธ์การปกครองทางจิตวิทยา
การแบ่งแยกและปกครอง | Divide & Rule
สำนวน “แบ่งแยกและพิชิต/ปกครอง” หรือ Divide & Rule มีต้นกำเนิดมาจากคำลาติน “divide et impera” ซึ่งหมายถึงการแบ่งแยกและการปกครองที่ Julius Caesar ใช้เพื่อการเอาชนะกอลในช่วงสงครามเกลิค การใช้งานกลยุทธ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา และยังคงใช้อย่างแพร่หลายทุกวันนี้
กลยุทธ์นี้คือ การรักษาอำนาจโดยใช้กลวิธีโดยเจตนาในการทำให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งรอง/ขู่แข่ง/ศัตรู/ฝ่ายตรงข้าม เกิดความขัดแย้งกันเอง ซึ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอลง เพื่อ ป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวเป็นฟ่ายเดียวกันแล้วมากำจัดผู้มีอำนาจใหญ่
เมื่อต้องต่อสู่กับอำนาจใหญ่ ประชาชนต้องมีการรวมพลังกัน กลยุทธ์นี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนหรือทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกเขา ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้พวกเขารวมตัวกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและโครงสร้างอำนาจได้ ซึ่งเป็นสูตรเก่าแก่ที่มีการใช้งานหลากหลาย ในเวทีการเมือง การทหาร สังคมวิทยา และ เศรษฐกิจด้วย
เขาทำกันอย่างไร?
ระบบส่งเสริมความแตกแยก ใช้พื้นฐานจิตวิทยาขั้นลึกของมนุษย์ ส่งเสริมความแตกแยกโดยการปลูกฝังความเชื่อใหม่ผิดๆ หรือ ความเชื่อที่มีอยู่แล้ว ผมขออธิบายด้วยตัวอย่าง
ขออนุญาติถามครับ
- ศาสนาอิสลามดีไหมครับ ?
- คำตอบ: ดีเลิศ
- ศาสนาพุทธดีไหมครับ ?
- คำตอบ: ดีเลิศ
- ศาสนาคริสต์ดีไหมครับ ?
- คำตอบ: ดีเลิศ
สมมุตติว่าเราเชิญ บุคคลที่นับถือศาสนาทั้งสามนี้ (ศาสนาละ 1 ท่าน) มาประชุมกันด้วยหัวข้อ
การประชุมกรณีที่ 1 : ส่งเสริมความดีให้มนุษย์รักกัน – แนวทางสงเสริมให้ประชากรรักและสามัคคีในสังคม
คุณคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการประชุม?
ทั้งสามท่านจะร่วมมือกัน ให้เกียรติกัน แลกเปลี่ยนความคิด และ รับฟังกัน เพราะทุกท่านมาเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งจะนำพลังความดีของสามศาสนามาสู่สังคม คุณเห็นด้วยกับผมไหมครับ?
ทั้งสามท่านมาด้วยความตั้งใจร่วมมือกันเพื่อบรรลุผลที่ ตนเองเชื่อและประสงค์
ไฮไลท์คือ
ตนเองเชื่อ…
ทีนี้ สมมุตติว่าการประชุมนี้เปลี่ยนหัวข้อเป็น
การประชุมกรณีที่ 2 : ส่งเสริมความดีให้มนุษย์รักกัน: ขัดเลือกศาสนาที่ดีที่สุด เพื่อส่งเสริมให้ประชากรนับถือศาสนาเดียวเท่านั้น รักและสามัคคีในสังคม
(โดยที่ อีกทั้งสองท่านต้องเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาที่ถูกขัดเลือกว่าดีที่สุดด้วย)
คุณคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น?
การประชุมครั้งนี้จะลงเอยด้วยการทะเลาะกัน
คำถามคือทำไมต้องทะเลาะกัน? ในเมื่อเป้าหมายคือการ ส่งเสริมความดีให้มนุษย์รักกัน เหมือนการประชุมกรณีที่ 1 ไม่ใช่หรือ?
คำตอบคือ
มนุษย์ให้ความสำคัญเป้าหมาย เป็นรอง
มนุษย์ให้ความสำคัญ ความเชื่อของตน เป็นหลัก
เมื่อเป้าหมายตรงตาม ความเชื่อของตน มนุษย์ยึด เป้าหมายเป็นหลัก
เมื่อเป้าหมาย ไม่ตรงตาม ความเชื่อของตน มนุษย์ยึด ความเชื่อตนเองเป็นหลัก
ใครก็ตามที่เข้าใจพื้นฐานทาง พฤติกรรมของมนุษย์ทางธรรมชาตินี้ สามารถสร้างความสามัคคีในสังคมได้ โดยใช้แนวทางการประชุมกรณีที่ 1
แต่ พวกเขาสามารถสร้างความแตกแยกได้ด้วยเช่นกัน โดยใช้แนวทางการประชุมกรณีที่ 2 ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการปกครองด้วย กลยุทธ์ Divide & Rule (แบ่งแยกแล้วปกครอง) และการใช้ กรณีที่ 2 ยังสามารถกีดกันไม่ให้ กรณีที่ 1 เกิดขึ้นได้ด้วย (ไม่ให้รวมพลังกัน)
ทีนี้เรามาเข้าใจกันต่อว่า เขาสร้างความเชื่อ (เพื่อสร้างความแตกแยก) ได้อย่างไร?
หากคุณศึกษาเกี่ยวกับ
- Human psychology (จิตวิทยามนุษย์)
- The science of belief (ศาสตร์แห่งความเชื่อ)
- The psychology of human belief (จิตวิทยาความเชื่อของมนุษย์)
- Behavioral sciences (พฤติกรรมศาสตร์)
คุณจะเข้าใจว่า
- พฤติกรรม ทั้งสิ่งที่พวกเรา คิด พูด และ ทำ อยู่บนพื้นฐานของ ความเชื่อ ของพวกเรา
- ความเชื่อของพวกเรา อยู่บนพื้นฐาน มุมมอง ของพวกเรา
- มุมมองของพวกเรา อยู่บนพื้นฐาน ข้อมูล ที่พวกเราได้รับ (ทั้งในรูปแบบ ความรู้ และ ประสบการณ์ ซึ่งก็คือรูปแบบหนึ่งของข้อมูล)
- ประมาณ 90% ของข้อมูลที่ประชากรโลกได้รับ มาจาก สื่อหลัก และ โซเชียลมีเดีย
- ใครก็ตาม ที่ควบคุม สื่อหลัก และ โซเชียลมีเดีย ควบคุมข้อมูลที่สามารถ ลง หรือ ห้ามลง / ห้ามออกอากาศ หรือ บิดเบือนเปลี่ยนความหมายได้
- ใครคนนั้น จะสามารถ ควบคุม ความเชื่อ และ พฤติกรรม ของมนุษย์ทั้งโลกได้ ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ
แล้วใครละที่ควบคุมข้อมูล (ความเชื่อ และ พฤติกรรม ของพวกเรา)?
- ปัจจุบัน 90% ของข้อมูลที่เรา อ่าน ดู หรือ ฟัง อยู่ภายใต้เพียง 6 องกรณ์ยักษ์ใหญ่เท่านั้น (ในสหรัฐฯ) และ 9 องกรณ์ยักษ์ใหญ่เท่านั้น ทั้วโลก
- ทั้ง 15 องกรณ์ยักษ์ใหญ่นี้ มี 2 บริษัท ที่ถือหุ้นใหญ่ คือ BlackRock และ Vanguard
- Microsoft, Facebook (ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram, Whatsapp, Messenger), Apple, Alphabet (ซึ่งเป็นเจ้าของ Google, Youtube, Gmail, Android), Twitter … ทั้งหมดนี้ มี BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือเจ้าของ
- Vanguard เป็นบริษัท นิติบุคคล หรือ Private Company และ…. Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ เจ้าของ BlackRock
- ฉะนั้น มีเพียง 1 กลุ่มคน เท่านั้น ที่ควบคุม ความเชื่อ และ พฤติกรรม ของมนุษย์ ทั่งโลก! ซึ่งก็คือ เจ้าของบริษัท Vanguard
ไม่ใช่เพียงแต่ข้อมูลเชิงข่าวเท่านั้น พวกเขาควบคุมข้อมูลประเภทอื่นๆ ด้วยเช่น วงการภาพยนต์ บริษัทผลิตหนังสื่อ เช่น Penguin สื่อสารคดีทั้งหลาย, Amazon.com ร้านขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดทั้ง E-book และดั้งเดิม พวกเขาคุมการศึกษาของมนุษย์
ในบทความต่อไปผมจะเขียนให้คุณเห็นว่า Vanguard นั้นไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อเท่านั้น แต่เป็นเจ้าของเกือบทุกบริษัทของโลก จากอาหารที่คุณทาน ยัน รถที่คุณขับ ยัน… ทุกอย่างที่คุณสำพัสที่ทำขึ้นโดยบริษัทใหญ่ๆ คลิปสั้นๆ ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างเพียง 1 อุตสาหกรรมเท่านั้น เป็นสินค้าที่เรารับประทาน
เขาควบคุมข้อมูล ความเชื่อ และ พฤติกรรม ของพวกเราได้แล้ว… ไงต่อ?
เวลาที่พวกอีลีตต้องการอะไรที่ ไม่ยุติธรรม พวกเขาใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า
Problem | Reaction | Solution
ปัญหา | ปฏิกิริยา | ทางออก
- เปาหมาย – ต้องการบางอย่างที่ทำตรงๆ ไม่ได้เพราะผิด
- สร้างปัญหา
- ปฎิกิริยา (ปั่นสมอง สร้างความกลัว สับสน สิ้นหวัง) เพื่อสร้างปฎิกิริยา ทำให้กลุ่มเป้าหมายร้องขอทางออก ที่ตนเองสามารถแอบแฝงวาระของตนในทางออกนั้นได้ เขาทำด้วย 4 ขั้นตอนหลักๆ
- ให้ข้อมูล ส่งเสริมความกลัว ปั่นสมอง ความสับสน ความสิ้นหวัง ความขัดแย้ง
- ปิดทางออกอื่นๆ ให้เหลือทางออกเดียว ที่ตนต้องการให้เป็น
- ใบ้ทางออก ชี้แนะแนวทางออก
- ทำให้กลุ่มเป้าหมายเป็นฝ่ายร้องขอทางออกนั้น
- ทางออก จัดการทางออกให้ ที่มีวาระ/สิ่งที่ตนเองต้องการแฝงอยู่ข้างใน
ตัวอย่างเช่น
- เป้าหมาย : ผมแอบชอบผู้หญิงข้างบ้าน แต่เขามีแฟนแล้ว แต่ผมไม่สนใจ ผมต้องการจีบเขา (ผิด) ผมไม่สามารถชวนเขาไปไหนได้ เป้าหมายของผมคือ ผมต้องการได้เวลาคุย/โอกาสจีบเขา
- สร้างปัญหา : ผมรู้ว่าเขาทำงานแถวสีลม ผมจึงออกแบบและสร้างปัญหา โดยการเจาะยางรถของเขา
- ปฎิกิริยา : รอเขาหน้าบ้านแล้ว “อ้าว! ยางแตกหรือครับ” … แล้วเริ่มให้ข้อมูลที่ทำให้เขาร้องขอในสิ่งที่ผมต้องการ | ผมต้องการไปส่งเขาที่ทำงานเพื่อที่จะได้โอกาสคุยกับเขา
- ส่งเสริมความกลัว กังวล เช่น – อีกครึ่ง ช.ม เขาจะปิดถนน วันนี้มีประท้วง | ดูเหมือนฝนจะตกรถติดแน่เลย
- ปิดทางออกอื่นๆ – ปะยางใช้เวลา 2 ชม นะ | เรียก Grab เวลานี้แพงมากนะ
- ใบ้ทางออก – ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมมีธุระแถวสีลม เดี๋ยวไปไม่ทัน
- ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ร้องขอทางออก สมมุตติว่าเขามีทางออกอื่นผมก็ต้องปิดทางออกนั้นให้ได้ (เช่นกรณีวัคซีนโควิด มีการด่อยค่า ฟ้าทลายโจร หรือ ยารักษาอื่นๆ ) สุดท้ายเขาก็ต้องขอติดรถผมไปลงสีลม
- จัดการหาทางออกให้เขา และบรรลุเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ขั้นตอนที่ 2 การสร้างปฎิกิริยาคือหัวใจ เป็นขั้นตอนที่สำคัญแต่ทำยาก หากคุณสังเกตุ ขั้นตอนนี้จะไม่สามารถบรรลุได้หากผมไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสื่อสาร ไม่งั้นผมไม่สามารถกระตุ้นให้เขามี ปฎิกิริยา ที่เข้าทางผมได้
พวกอีลีต มีสื่อในมือ ซึ่งคือหัวใจ เพราะพวกเขาต้องใช้สื่อ ทำให้ผู้คนทั้งหมดทั้งโลกมี ปฎิกิริยาเดียวกัน เป็นไปตามที่เขาต้องการได้
การล้างสมองมวลชน
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่สังหาร ชาย หญิง และเด็ก ชาวยิวจำนวน 6 ล้านคน เกิดขึ้นโดยรัฐบาล ที่ทำขึ้นอย่างเป็นระบบ ผมหยิบเรื่องนี้มาเขียนเพราะผมต้องการบอกคุณ 2 เรื่องสำคัญ
1. ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง รัฐบาล ฮิตเลอร์ คือกลุ่มตระกูลอีลีตที่ ยังคงเป็นตระกูลอีลีต เดิม ที่ควบคุมรัฐบาลเกือบทั้งโลก ทุกวันนี้
2. ความสำเร็จของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนั้นไม่ได้เกิดจาก อาวุธ อำนาจ หรืออะไร แต่สำเร็จจากการล้างสมองมวลชน
คุณเคยคิดไหมว่า ฮิตเลอร์ ฆ่าคนเป็นล้านโดย “สันติ” ได้อย่างไร? เขาไม่ได้โยนระเบิดกลางเมืองต่างๆ เขาหลอกคนเป็นล้านเข้าเตาเผา โดยการหลอกให้คนจากทั่วสารทิศ นั่งรถไฟ ไปในที่ๆ เขาตั้งโรงเผา และสมัครใจเดินเข้าไปในโรงเผาด้วยตนเอง
คำถาม : แล้วทำไมผู้คนเป็นล้านจึงเดินทาง แย่งกันขึ้นรถไฟไปถูกเผาด้วย?
คำตอบ : มันคือสาเหตุเดียวกันที่ทุกวันนี้ ผู้คนแย่งกันไปฉีดวัคซีน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายภูมิต้านทาน
สาเหตุที่ว่าคือ : “ถูกล้างสมอง”
ฮิตเลอร์ คือเทพเจ้าแห่งการหลอกลวง ไม่มีใครเข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง และ พฤติกรรมของมนุษย์ มากไปกว่าเขา เขารู้วิธี ล้างสมองมวลชน
สิ่งที่ ฮิตเลอร์ ทำคือ
- เป้าหมาย ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยการให้ชาวยิวไปยังโรงเผาที่ตนเองสร้างขึ้น
- สร้างปัญหา – ฆ่าชาวยิวบางคน
- ปฎิกิริยา – สร้างความกลัวว่า ชาวยิวอยู่ในภาวะอันตราย ให้ชาวยิวร้องขอความปลอดภัย
- ทางออก – จัดสั้น สถานที่ “ปลอดภัย” สำหรับชาวยิวเดินทางไป (ซึ่งก็คือโรงเผา) แต่ก่อนเข้าสถานที่นั้นต้องชำระตนโดยเข้าไปในที่ชำระล้าง (แต่จริงแล้วเป็นเป็นที่เผา) ผู้คนจึงเดินเข้าไป พอเข้าไปแล้วรู้ความจริงก็สายเกินไปแล้ว
9/11 อีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้วิธีนี้
อีลีตต้องการบ่อน้ำมัน
- เป้าหมาย : อีลีตต้องการปล้นบ่อน้ำมันของประเทศอื่น จึงจำเป็นต้องทำสงคราม แต่ไม่สามารถทำสงครามตรงๆ ได้เพราะ ผิด
- สร้างปัญหา – 9/11 (ใช่ครับ รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอีลีตควบคุม เป็นคนทำเอง)
- ปฎิกิริยา – ต้องการให้ประชาชน ร้องขอให้กำจัดการก่อการร้าย โดยให้ข้อมูลว่า บินลาดิน เป็นคนทำ 9/11
- ส่งเสริมความกลัว ปั่นสมอง สร้างความสับสน ความสิ้นหวัง – เช่น บินลาดิน มีแผนก่อการร้ายซ้ำอีก | วางระเบิดในจุดต่างๆ ในยุโรป
- ปิดทางออกอื่นๆ – บินลาดินแอบอยู่ในประเทศต่างๆ (ที่ตนเองจะเข้า) จับบินลาดิน ไม่ได้ ต้องใช้กำลังทหาร เท่านั้น
- ใบ้ทางออก – ต้องทำลายผู้ก่อการร้าย ไม่งั้นชาวโลกตกอยู่ในอันตราย
- ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ร้องขอทางออก – สงครามต่อต้านการก่อการร้าย
- ทางออก – ทำสงคราม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน แต่จริงๆ แล้วเข้าไปทำสงครามเพื่อสิ่งที่ตนต้องการ
แต่พวกอีลีตยังคงมีอุปสรรคอยู่อีก 1 อย่าง การทำสงครามนั้น จะมีผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทในประเทศที่ทำสงคราม ฉะนั้นประชาชนชาวโลกก็จะไม่สนับสนุนสงครามถูกไหมครับ? มันคือกรณีอะไรครับ? มันคือกรณีที่ 1 ที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านี้ เมื่อชาวโลก กับ ชาว อัฟกานิสถาน เห็นอกเห็นใจกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป้าหมายของ อีลีตก็จะหลมเหลว พวกเขาจึงต้องเปลี่ยน สถานการให้เป็น กรณีที่ 2 ซึ่งก็คือสร้างความแตกแยกบนพื้นฐานของความเชื่อ พวกเขาจึงเริ่มใส่ร้ายป้ายสี ศาสนาอิสลาม ว่าเป็นศาสนาแห่งความรุนแรง พวกอิสลามคือพวกหัวรุนแรงแล้วปั่นสมองชาวโลก นี้คือตัวอย่างของการ Divide & Rule
เนื่องจาก ประชาชนชาวโลกรับฟัง เห็นใจ เข้าใจ ชาวอิสลามที่ได้รับผลกระทบ เมื่อรวมตัวกัน สามัคคีกัน อีลีตทำอะไรไม่ได้ ก็เลยต้องจับแยกแล้วทำให้ขัดแย้ง เกลียดชังกัน ใส่ความเชื่อผิดๆ ผ่านสื่อ ให้แตกแยกกัน กล่าวหา ว่าร้ายกันเอง ทีนี้เสียงของผู้คนในประเทศสงครามก็จะไม่มีใครรับฟังอีกต่อไป เพราะเป็นเสี่ยงของ “ศัตรู” ชาวโลกถูกปั่น และ ล้างสมองจน ชาวอิสลามดำเนินชีวิตได้ยากมาก โดยเฉพราะ ชาวอิสลามใน สัหรัฐๆ และ ยุโรป พวกเขาจะไปไหน จะทำอะไรก็ลำบากไปหมด มีแต่คนมองด้วยสายตาที่ ระแวง เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่จนในที่สุด ที่อินเดียมีการทำหนังขึ้นมาที่ชื่อว่า “ฉันชื่อ Khan และฉันไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย” เพื่อปรับความเข้าใจของผู้คนให้ถูกต้อง
ผมเป็นชาว พุทธ/ซิกข์ ผมมีเพื่อนเป็นชาวอิสลามไม่น้อย ผมรู้แกใจดีว่าพวกเขามีจิตใจนิ่มนวลมากแค่ไหน ถ้าผมถามคุณว่าในประเทศไทย คนภาคไหน ใจดีและอบอุ่นที่สุด ผมเชื่อว่าทุกท่านจะตอบว่า ภาคใต้ เห็นไหมครับ คุณเองก็รู้ความจริง แต่ถ้าผมชวนคุณไปเที่ยวประเทศ ปากีสถาน คุณจะไปไหม? คนส่วนใหญ่ไม่ไป เพราะกลัว ปากีสถานเป็นประเทศที่ปลอดภัยและสวยงาม ปลอดภัยเพราะมีประชากรผู้นับถือศาสนาที่ทำให้พวกเขาเป็นคนจิตใจดี แต่พวกเราถูกสื่อปั่นสมองจนกลัวไปหมด
เมื่อ อีลีต ต้องการให้ทุกคนใส่แมส แต่มีผู้คนที่ใส่บ้างไม่ใส่บ้าง คนที่ใส่ เมื่อ เห็นคนที่ไม่ใส่ ก็ไม่คิดอะไร เพราะเคารพสิทธิของกันและกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน อีลีตไม่บรรลุผล
แล้วอีลึตทำไงครับ? พวกเขาประกาศว่า แมสไม่สามารถป้องกันการติดเชื่อได้ แต่ป้องกันการแพร่เชื่อได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ? เขาเปลี่ยนสถานการ จากกรณีที่ 1 เป็น กรณีที่ 2
สังเกตคำพูดเขาดีๆ นะครับ
เขาไม่พูดว่า แมสป้องกันการติด และ แพร่ได้
เขาพูดว่า ป้องกันการติดไม่ได้ แต่ ป้องกันการแพร่ได้
ทำไมครับ? เพราะถ้าเขาพูดว่า แมสป้องกันการติด และ แพร่ได้ ผู้คนก็จะยังคงเคารพสิทธิกัน เพราะ “ฉันใส่แล้ว ฉันปลอดภัย คุณไม่ใส่ไม่เป็นไร” แต่พอเขาพูดว่า แมสป้องกันการติด ไม่ได้ แต่ กันการแพร่ได้ เกิดความขัดแย้งทันที เพราะ “ฉันใส่แล้วก็ยังตกอยู่ในความอันตราย คุณไม่ใส่ไม่ได้” เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่รู้ว่าแมสไม่มีประโยชน์และกำลังทำร้ายสุขภาพของเขา ต้องยอมใส่เพราะไม่งั้นจะมีปัญหากับคนที่ใส่
หากคุณหยุดคิดแล้วตั้งคำถามบนพื้นฐานตรรกะว่า ทำไม่ไวรัส ออกผ่านแมสไม่ได้ แต่เข้าได้ คุณจะเห็นเองว่ามันไร้สาระ จริงๆ แล้ว แมสไม่สามารถป้องกันอะไรได้ทั้งนั้น แต่ด้วยวิธี Divide & Rule เขาสามารถควบคุมคนทั้ง 2 กลุ่มได้ กลุ่มคนที่รู้ว่าแมสไม่มีประโยชน์และกำลังทำร้ายสุขภาพของเขาต้องยอมใส่เพื่อลีกเลี้ยงความขัดแย้ง
ณ ปัจจุบันพวกเขาก็กำลังพยายามใช้ กลยุทธ์เดิม เพื่อทำให้ทุกคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว แตกกันกับ คนที่ไม่ฉีด โดยการใส่ข้อมูลในสมองผู้ที่ฉีดว่า โรคระบาดในกลุ่มคนที่ไม่ฉีดวัคซีน ที่คุณจะเห็นได้บ่อยๆ ในข่าว เพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม
ทั้งๆ ที่วัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื่อได้ ไม่สามารถป้องกันการแพร่ได้ คนที่ฉีดและไม่ฉีด ติดและแพร่ได้เหมือนกัน
แล้วโรคระบาดในกลุ่มไม่ฉีดได้อย่างไร?
อีลีตไม่สนใจเรื่องนั้น เขาต้องการเปลี่ยน สถานการปัจจุบัน ที่ยังคงเป็นกรณีที่ 1 อยู่ ให้เป็น กรณีที่ 2
ประเด่นคือ อีลีตจะใช้บริวาร (สื่อ แพทย์ทุจริต นักการเมือง และอื่นๆ)ในการล้างสมองมวลชน ด้วย 11 วิธีที่ผมกำลังจะอธิบาย แล้วในที่สุด กรณีที่ 2 ก่อจะเกิดขึ้น
นี้คือหน้าตาของไวรัสที่แท้จริง
Omicron ที่ออกมานั้น ออกมาด้วยภาระกิจเปลี่ยน กรณี 1 เป็น 2 โดยเฉพาะ
ทวีปแอฟริกาโดนบริษัทยาเหล่านี้ ทดลองยา และทำร้ายมานานแสนนาน ไม่น้อยกว่า 40 ปีแล้ว พวกเขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร จะหลอกฉีดพวกเขาอีกคงไม่ได้แล้ว จึงมีประชาชนเพียง 7% เท่านั้นที่ฉีด อีลีตจึงสร้าง โอไมครอน มาแล้วพูดว่า สายพันธุนี้มาจากแอฟริกา เพราะอะไรครับ? เพราะคนแอฟริกาไม่ยอมฉีด เป็นการโทษกลุ่มที่ไม่ฉีดแล้วจะค่อยๆ ขยายการโทษไปยังคนทั่วโลกที่ไม่ยอมฉีดเพื่อให้ คนที่ฉีดและไม่ฉีดทะเลาะกัน หารู้ไม่ว่า ประเทศที่ฉีดเยอะแล้วต่างหากที่กำลังประสบปัญหาการติดเชื่อ และคนที่ไม่ฉีดเดินทางไม่ได้ พวกเขาแพร่เชื่อได้อย่างไร?
และเขาก็จะใช้กลยุทธเดิม ซึ่งก็คือ …
- เป้าหมาย อีลีตต้องการออกกฏหมาย บังคับฉีด
- สร้างปัญหา – สายพันธ์โอไมครอน และ จะมีสายพันธ์ออกมาอีก รอดูได้เลยครับ (แล้วโทษ โรคระบาดในกลุ่มที่ไม่ยอมฉีด)
- ปฎิกิริยา – ต้องการให้ประชาชนที่ฉีดแล้วรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายเพราะพวกที่ไม่ฉีด และขอให้รัฐบาลจัดการพวกที่ไม่ยอมฉีด โดยการล้างสมองมวลชนว่าโรคระบาดในกลุ่มที่ไม่ยอมฉีด (รู้ทันแล้วเราต้องช่วยกันและสามัคคีกันนะครับ)
- ส่งเสริมความกลัว ปั่นสมอง ความสับสน ความสิ้นหวัง – ปิดประเทศ จำกัดสิทธิ เพิ่มจำนวนเคส (โดยใช้ PCR) เพื่มจำนวนผู้ตาย (โดยใช้ PCR และนำผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตจากวัคซีน มาโทษว่าเป็นเพราะไวรัสที่ระบาดเพราะผู้ที่ไม่ฉีด วัคซีนทำลายภูมิต้านทานนะครับ ใครที่ฉีดแล้ว หาทางล้างผิษเถอะครับ) แผนการนี้ ได้ประโยชน์สำหรับอีลีต 3 อย่าง
- สร้างความขัดแย้งเพื่อเปลี่ยนจาก กรณี่ 1 เป็น 2 เพื่อ Divide & Rule เพื่อบรรลุเป้าหมายการออกกฏหมายบังคับฉีด คนที่ไม่ยอมฉีด
- ปกปิดการตายจากวัคซีน เปลี่ยนสาเหตุการตายมาเป็นไวรัส (ทำได้ไง? ภูมิที่กำลังถูกวัคซีนทำลายจะทำให้ ผู้คนติดเชื่อต่างๆ ได้ง่าย แล้วพวกเขาก็จะใช้ PCR เปลี่ยนสาเหตุการป่วย (เคส) และ เสียชีวิต เป็นโอไมครอน (Omicron) หรือสายพันธ์ใหม่อะไรก็แล้วแต่ รายละเอียดโปรดศึกษา ความจริงของโควิด )
- พลักดันคนที่ฉีด 2 เข็มแล้วให้ฉีดเข็ม 3-4 เพิ่มเพราะตอนนี้ คนที่ฉีด 2 เข็มไปแล้วเริ่มรู้ตัวแล้วว่าร่างกายเปลี่ยนไป ฉะนั้นอีลีตต้องผลิต เหตุการให้คนขนหัวลุกใหม่อีกรอบ แล้ว จูงนำไปสู่การฉีดเพิ่ม
- ปิดทางออกอื่นๆ – เช่น โรคระบาดยุติไม่ได้ ล็อกดาวน์หนักขึ้น เพราะผู้คนที่ไม่เคยฉีดเลย หรือ ไม่ยอมฉีดเพิ่ม โดยการหลอก ผู้คนไม่ยอมฉีดเข็มที่ 3/4 ว่า 2 เข็มป้องกัน Omicron ไม่ได้ เรื่องโรคประจำถิ่นที่กำลังเป็นข่าวในปัจจุบันกับมาตรการ covid free setting ถ้าอ่านดีๆ จะเห็นว่าเรากำลังจะถูกหลอกแบบ herd immunity 70% เพราะเขาบอกว่าเขาจะประกาศเป็นโรคประจำถิ่นก็ต่อเมื่อ เงื่อนไขพวกเราทำตามเขาจนครบก็คือ ฉีดเข็ม 3/4 และตรวจ ATK ซ้ำๆ ATK เป็นของเล่นที่ไม่สามารถตรวจหาไวรัสได้ แต่จะผลิตผลบวกลวงที่จะคงการโรคระบาดต่อไป …
- ส่งเสริมความกลัว ปั่นสมอง ความสับสน ความสิ้นหวัง – ปิดประเทศ จำกัดสิทธิ เพิ่มจำนวนเคส (โดยใช้ PCR) เพื่มจำนวนผู้ตาย (โดยใช้ PCR และนำผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตจากวัคซีน มาโทษว่าเป็นเพราะไวรัสที่ระบาดเพราะผู้ที่ไม่ฉีด วัคซีนทำลายภูมิต้านทานนะครับ ใครที่ฉีดแล้ว หาทางล้างผิษเถอะครับ) แผนการนี้ ได้ประโยชน์สำหรับอีลีต 3 อย่าง
- กีดกันยารักษาเช่นฟ้าทลายโจร Ivermectin และอื่นๆ เช่นไม่ฉีดไปเรียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้ เดินทางไม่ได้
- ใบ้ทางออก – ต้องฉีด 4 เข็มให้ทุกคน (หรือ 70%) เพื่อเปิดประเทศ หยุดการระบาด
- ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ร้องขอทางออก – ทำให้คนที่ฉีดรู้สึกว่า ชีวิตเขาอันตราย หรือ งานการของเขาพังทลาย เพราะคนที่ไม่ยอมฉีด เห็นด้วยกับคำใบ้ว่าทุกคนควรฉีดเพื่อยุติปัญหา และร้องขอให้มีการบังคับฉีด หรือ ไม่กีดกันเวลาที่รัฐบาลออกกฏหมายไม่ยุติธรรมในการบังคับฉีด
- ทางออก – ออกกฏหมายบังคับการฉีด – อีลีตบรรลุเป้าหมาย
พวกอีลีตใส่ความเชื่อให้เราทั้งๆ ที่ผิดตรรกะ (เพื่อสร้างความแตกแยก) ได้อย่างไร?
คำตอบ : ล้างสมองมวลชน
ก่อนที่ผมจะอธิบายว่า เขาล้างสมองมวลชนอย่างไร ผมขออธิบายช่องทางการล้างสมองก่อน
ระบบสื่อ
เวลาที่เราพูดถึงสื่อ เรามักนึกถึงข่าวแต่พวกอีลีตคิดต่างกัน สำหรับพวกเขา สื่อคือทุกช่องทางที่สามารถเข้าถึงสมองของพวกเรา ด้วยทุกวิธีทาง ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- ความบันเทิง (เกมส์ การ์ตูน ภาพยนต์ ของเล่นเด็ก อื่นๆ )
- การศึกษา (โรงเรียน มหาลัย หนังสือ การวิจัย )
- ข่าวสาร (โซเชี้ยล หนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี อื่นๆ)
- คำพูดบุคคลสำคัญๆ เช่น แพทย์ รัฐบาล ดารา อื่นๆ
- และ เนื้อหา สาระ ข้อมูล ผ่านช่องทางด้านบน
ผมขอนอกเรื่องสั้นๆ ให้คุณเห็นภาพที่กว้างขึ้นครับ
- การศึกษา: การศึกษามักเน้นการท่องจำ (ซึ่งถูกวิจารมาตลอด) เพื่อสงเสริมให้มนุษย์ ไม่คิดเอง เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้นเมื่อมนุษย์โต (เห็นสภาพหมอทุกวันนี้ไหมครับ คนฉีดแล้วตายต่อหน้าต่อตา หมอยังไม่เชื่อว่าเป็นเพราะวัคซีนเลย เพราะเบื่องบนเขาบอกว่าไม่เกี่ยว) การศึกษามักมีผู้วางกรอบและเป็นผู้ตัดสินว่า อะไรถูก อะไรผิด เพื่อฝังในจิตใต้สำนึกของเด็กว่า ต้องเชื่อฟัง ผู้มีอำนาจ ผู้เชี่ยวชาญ เสมอ การศึกษามักส่งเสริมการแข่งขัน (เพื่อลดการแบ่งปัน)
- ความบันเทิงในไวการศึกษามักส่งเสริมความขาดแคลนเพื่อส่งเสริมการแย่งชิง ที่จะลดการแบ่งปัน (ตัวอย่างเช่น เกมส์เก้าอี้ดนตรี ที่สอนให้เด็กรู้ว่าโลกใบนี้ขาดแคลน ต้องแย่งชิง ซึ่ง สุดท้ายจะนำไปสู่การปลูกฝังเรื่องการโกงที่ง่ายขึ้น) คุณเคยเห็นการศึกษาที่ไม่มีผู้ชนะไหม เพื่อให้แย่ลง ผู้ชนะจะได้รับรางวัล การชื่นชม ยกย่อง ส่วนผู้แพ้จะถูกสอนให้เอาชนะให้ได้
ส่ิงเหลานี้คือพื้นฐานที่ถูกปูไว้เพื่อเตรียมให้มนุษย์ ง่ายต่อการคอรัปชั่นเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเขารู้ว่า ความสุขคือชัยชนะ ชัยชนะคือการแข่งขัน การแข่งขันคือการแย่งชิง การแย่งชิงคือการไม่แบ่งปัน การไม่แบ่งปันคือการเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตัวคือคุณลักษณะ พื้นฐานของคนที่พวกอีลีตสามารถคุมได้โดยการให้คนเหล่านี้เป็น ผู้ชนะ (เงิน ชื่อเสียง และอำนาจ) ตราบใดที่เขาทำสิ่งที่ถูกสั่งให้ทำ
การควบคุมที่นำไปสู่การผูกขาด สุดท้ายทำให้อีลีตรวยขึ้นและประชากรจนลง ซึ่งจะทำให้สงเสริมการแย่งชิงและเห็นแก่ตัวมากชึ้น สุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยความยากจนเข้าไปอีก พวกอีลีตจงใจทำสิ่งเหล่านี้มานานนับร้อยๆ ปี
มนุษย์ไม่สามารถออกจากวงจรนี้ได้เพราะพวกเราอยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม เหมื่อนช้างที่ถูกล้ามโซ่ตั้งแต่เล็ก เมื่อช้างโตช้างก็ยังคงติดอยู่ที่เดิมเพราะถูกล้ามโซ่แต่ช้างไม่สามารถคิดได้ว่าโซ่ที่ล้ามนั้นเขาสามารถเตะหลุดได้อย่างง่ายด่าย ช้างถูกล้ามด้วยโซ่ทางจิตวิทยาในจิตใต้สำนึก ไม่ใช่โซ่ที่เป็นเหล็ก
วิธีนี้คือวิธีเดี่ยวกันที่พวกอีลีตล้ามมนุษย์ ซึ่งไม่ต่างจากช้างที่ทรงพลังสามารถลากต้นไม้ใหญ่ๆ ได้แต่ถูกโซ่บางๆ ล้าม มนุษย์ที่มีสมองอันทรงพลังที่สามารถสร้างจะรวดไปนอกโลกได้ แต่ไม่สามารถคิดได้ว่า การเอากระดาษมาแปะไว้บนหน้าไม่สามารถป้องกันไวรัสได้
สิ่งนี้ทำให้อีลีตสามารถคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ สามารถคุมมนุษย์ได้ในทุกระดับ ด้วยทุกวิธี ใครก็ตามที่ตื่นรู้และหลุดจากวงจรนี้จะถูกกล่าวหาว่าบ้า พูดเท็จ หลงกลนักทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งเป็นอีกช่องทางของการควบคุมไม่ให้มนุษย์กล้าแสดงออกหรือนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคม เพราะถ้าพูดจะถูกล้อเรียน ถึงแม้ว่าเขาจะกล้าพูดก็ตาม จะไม่มีใครรับฟังเขาเพราะสิ่งที่เขาพูดมันขัดต่อความเชื่อมวลชนที่ถูกฝังไว้ จึงทำให้ อีลีตมีอำนาจต่อไป
หนึ่งสิ่งที่พวกเราถูกปลูกฝังให้เชื่อคือ รัฐบาลเป็นเจ้านายของเรา เขามีอำนาจเหนือเรา แต่จริงแล้วพวกเขาคือลูกจ้างของเรา โควิดจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อ ผู้คนศึกษาหาความรู้ความจริงใส่ตน และ เอาอำนาจกลับสู่ตัวเอง ง่ายๆ ด้วยคำพูด ” ฉันไม่ทำ ”
ผมกลับเข้าเรื่องละครับ
นอกจากสื่อที่มี 15 บริษัท (สุดท้ายคือ Vanguard ) ควบคุม Netflix และ Amazon Prime คือผู้ผูกขาดเรื่องสื่ออีกรูปแบบ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทลูกๆ มากมาย เช่น
- Time-Warner
- Walt Disney Company
- Comcast
- Fox Corporation
- Bertelsmann และ
- Viacom, CBS
เราจะเห็นว่า ชื่อเดียวกันขึ้นมาเป็นเจ้าของหุ้น :
BlackRock และ Vanguard
บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างรายการ ภาพยนตร์ และ สารคดี ทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของช่องทางที่ออกอากาศสิ่งเหล่านั้นด้วย ดังนั้น ทุกอย่างเป็นของพวกอีลีต
ข่าวรายวันของสื่อทั้งหมด สำนักข่าวที่หลากหลายไม่ได้ผลิตข่าวเอง พวกเขาใช้ข้อมูลและภาพจากสำนักข่าว .ANP และ Reuters หน่วยงานเหล่านี้ไม่เป็นอิสระ แต่เป็นของชนชั้นสูง หรือ อีลีต
นักข่าวและบรรณาธิการที่สำคัญที่สุดที่ทำงานให้กับหน่วยงานเหล่านี้คือสมาชิกของหน่วยงานด้านวารสารศาสตร์ เช่น European Journalism Centre เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับสื่อที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป พวกเขาให้ความรู้กับนักข่าว จัดพิมพ์หนังสือเรียน ฝึกอบรมหน่วยงานด้านข่าว และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Facebook (ทั้งหมดเป็นของอีลีต)
สำหรับการวิเคราะห์และมุมมองของนักข่าว สื่อรายใหญ่ใช้ Project Syndicate (โครงการซินดิเคท) นี่คือองค์กรที่ทรงพลังที่สุดในสาขานี้ โครงการซินดิเคทและองค์กรต่างๆ อย่างที่ผมกล่าวถึง ร่วมกับหน่วยงานข่าว เชื่อมโยงระหว่างสื่อทั่วโลก เมื่อผู้ประกาศข่าวให้ข่าวแก่คุณ ข่าวเหล่านี้มาจากแหล่งเดียว นั่นคือเหตุผลที่สื่อทั่วโลกรายงานข่าวสอดคล้องกัน
ใครเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรและหน่วยงานสื่อที่ผลิตข่าว?
องค์กรที่นำข่าวมาให้เราเช่น Project Syndicate จะได้รับค่าตอบแทนจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เช่น มูลนิธิ Bill and Melinda Gates Foundation, Open Society Foundation และ European Journalism Centre แล้วกลุ่มที่ไม่แสวงหากำไรเอาเงินมาจากไหน? จากการบริจากของกลุ่มอีลีตเดิมๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นเจ้าของสื่อทั้งหมด
ถึงตอนนี้คุณเข้าใจแล้วว่า ทุกข้อมูลที่อยู่ในสมองของคนเรามาจากไหน อะไรก็ตามที่อีลีตต้องการให้เราเชื่อ (จะจริงหรือไม่ก็ตาม) เขาทำได้
11 ขั้นตอนการ ล้างสมองมวลชน
เพื่อที่จะเข้าใจการทำงานของ 11 วิธีนี้ ผมจำเป็นต้องอธิบายกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์ก่อน
การทำงานของสมองสามารถแบ่งได้ตามรูปภาพนี้
Neocortex (นีโอคอร์เท็กซ์)
ส่วน Neocortex คือส่วนของ ตรรกะ เหตุผล รวมทั้งการสื่อสาร สมองส่วนนี้คือส่วนที่เขาเรียกว่า Conscious Mind หรือ สติ สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างนึงที่เราต้องรู้เกี่ยวกับสมองส่วนนี้คือ เขาไม่มีหน้าที่ในการตัดสินใจ จนกว่าคุณจะตั้งสติขึ้นมาแล้วตัดสินใจเอง ในชีวิตจริงมนุษย์ใช้สมองส่วนนี้ในการตัดสินใจเพียง 1% เท่านั้น
การวิเคราะ หรือ คิดด้วยเหตุผลนั้นมีหลายระดับ จากการ คิดด้วยตรรกะแบบตื้นๆ ยันการค้นหาความจริงเชิงลึก
ใครก็ตามที่คิด วิเคราะแบบตื่นๆ หรือคิด ‘ระดับเดียว’ สามาถถูกหลอกได้ง่าย สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดในผู้คนได้ด้วยวิธี ยุติกระบวนการคิด ไม่ให้คิดเชิงลึก หรือ กันไม่ให้สมองของเราคิดไปยังระดับที่ลึกในระดับต่อๆ
กระบวนการคิดเชิงลึกคือการตั้งคำถามว่า ‘ทำไม’ เมื่อเราได้คำตอบแล้ว ให้ถามว่า ‘ทำไม’ หรือ ‘เนื่องจากอะไร’ อีกรอบ และถามไปเรื่อยๆ
เมื่อมีการใช้สมองส่วน neocortex มนุษย์จะตกอยู่ในสภาวะความเครียดและเหนื่อย เพราะต้องใช้พลังงานสมอง ต้องคิดหนัก โดยธรรมชาติสมองพวกเรามักหาทางออกทางลัดเพื่อประหยัดพลังงาน มันคือธรรมชาติของพวกเรา สมองส่วนตรรกะ จึงคิดตื่นๆ โดยใช้ 4 วิธีซึ่งพวกอีลีตรู้ดี และ เตรียมเหตุผลไว้ล่วงหน้าให้เป็นข้ออ้างอิง …ดังต่อไปนี้
สมองส่วนตรรกะ คิดตื่นๆ เพื่อประหยัดพลังงาน โดยใช้ 4 วิธี
- มองข้ามเรื่องเล็ก – อะไรที่เป็นเรื่องเล็ก เรามักมองข้าม ไม่สนใจ ไม่เสียพลังงานสมองคิด ด้วยเหตุผลหรือตรรกะที่ว่า “มันเป็นเรื่องเล็ก” แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เราต้องหยุดคิดทันที
- เชื่อผู้เชี่ยวชาญ – “ในเมื่อหมอพูดแบบนี้ ก็แปลว่าเป็นเรื่องจริง” เรามักใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ประกอบเป็นเหตุผลในกระบวนการคิดเชิงตรรกะ แต่จริงแล้วมันคือความเชื่อไม่ใช่ ตรรกะ เพราะตรรกะคือเหตุผล เราเองก็ไม่รู้เหตุผลของคำตอบหรือคำแนะนำที่เราได้แต่เราเชื่อหมอ แล้วเปลี่ยนรูปแบบ ‘ความเชื่อ’ เป็น ‘เหตุผล’ แล้วยุติการคิดต่อเพราะเราถูกปลูกฝังตั้งแต่เล็กให้เชื่อผู้เชี่ยวชาญ อีลีตจึงใช้วิธีนี้เพื่อหยุดการคิดโดยการเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าให้เป็นข้ออ้างอิง ที่มีความน่าเชื่อถือ โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลที่มาประกอบคำตอบ
- ตามผู้ตาม (ตามคนที่ไม่ได้คิดเองแต่ไปตามคนอื่นๆมาอีกที ซึ่งคนอื่นๆ นั้นก็ไม่ได้คิดเองเช่นกันแล้วตามเขามาอีกที สุดท้ายลงเหวด้วยกัน) – นี้คือที่มาของการ รีวิวสินค้า เรามักให้น้ำหนักรีวิวในการตัดสินใจ เราไม่รู้ ตัวอย่างอื่นเช่น “ใครๆ เขาก็ฉีดกัน ทุกคนที่ทำงานก็ฉีดหมดแล้ว ฉันก็ควรจะฉีดด้วย” คุณเห็นกระบวนการคิดไหมครับ ว่าอยู่บนพื้นฐานอะไร? ตรรกะทางวิทยาศาสตร์ หรือ กลยุทธทางจิตวิทยา? เราจะใช้ข้อมูลนี้ประกอบเหตุผลในการคิด
นี้คือสาเหตุที่ภาพการฉีดของ แพทย์ ดารา นักการเมือง จะถูกออกอากาศ เพื่อกระตุ้นคนกลุ่มแรกให้ตาม ที่เหลือก็จะตามๆ กันเอง
- แอสโตรเทิรฟ (ระแวงคนแรก ฟังคนที่สอง เชื่อคนที่สาม) – หากเราได้ยินสิ่งเดิมจาก 3 คน เราจะเริ่มเชื่อสิ่งนั้นและใช้ข้อมูลนี้ประกอบเหตุผลในการใช้ตรรกะคิด แล้ว ยุติการ คิดต่อ
เพราะสมองพยายามประหยัดพลังงาน เราจึงคิดตื้น
อีลีตจึงใช้ พฤติกรรมทางธรรมชาตินี้หลอกเรา
Limbic Brain (สมองส่วนลิมบิก)
– มนุษย์ใช้สมองส่วน Neocortex ในการตัดสินใจเพียง 1% เท่านั้น ที่เหลืออีก 99% ของทุกการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเช่นการตื่นเช้ามาแล้ว (ตัดสินใจ) ไปแปรงฟัน หรือ เรื่องใหญ่ เป็นระบบอัติโนมัติ ซึ่งเกิดขึ้นในสมองส่วนลิมบิกบนพื้นฐานอารมณ์ และข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
– สมองส่วนลิมบิก ตัดสินใจตามข้อมูลที่อยู่ในสมองส่วนนี้เท่านั้น และตัดสินบนพื้นฐานของ อารมณ์ ไม่ใช่ตรรกะ
– วิธีการทำงานของสมองคือ เวลาที่มนุษย์ ตัดสินใจอะไรก็ตาม การตัดสินใจเกิดขึ้นในลิมบิกและจะถูกส่งไปยัง Neocortex เพื่อให้ Neocortex หาเหตุผลที่เหมาะสมมาประกอบในสิ่งที่ ตนตัดสินใจไว้เรียบร้อยแล้วในสมองส่วนลิมบิก ผมขอยกตัวอย่าง
เวลาที่เราเกิดอาการความอยากต่างๆ เช่น อยากสูบบุหรี่ มันเกิดจากความอยากซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในลิมบิก สมองของเราตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่า “ฉันจะสูบบุหรี่” ในรูปแบบความรู้สึก การตัดสินใจนี้จะถูกส่งไปยัง neocortex ในรูปแบบความอยาก เพื่อให้สมองส่วนตรรกะหาเหตุผลเพื่อตอบสนองการตัดสินใจของตนและลงมือทำ เช่น ‘วันนี้สูบได้วันหนึ่ง’ ‘สูบอีกครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก’ ‘พรุ่งนี้เลิกแน่นอน’ เป็นต้น
นี้คือสาเหตุที่คนเลิกได้ยากมากเพราะการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ และการตัดสินใจเกิดในสมองส่วนที่ไม่มีตรรกะ แต่ความตั้งใจอยู่ในสมองส่วนที่มีตรรกะแต่ตัดสินใจไม่ได้ยกเว้นตั้งสติควบคุมอารมณ์ สิ่งที่คุณควรเข้าใจคือ
ทุกการตัดสินใจนั้น จะเกิดขึ้นบนข้อมูล (ในรูปแบบความรู้สึก) ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก หรือ สมองส่วนลิมบิก เสมอ
ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล หรือ ตรรกะ ที่ถูกต้อง เพราะการตัดสินใจในสมองส่วนลิมบิกไม่สามารถประมวลผลเรื่องเหตุผล หรือ ตรรกะได้
หากมนุษย์จะใช้เหตุผล หรือ ตรรกะเขาต้องมีสติเมื่อข้อมูล (ในรูปแบบความรู้สึก) นั้นถูกส่งมายัง neocortex จากลิมบิกเพื่อตัดสินใจอีกทีว่า จะทำหรือไม่ทำ เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จะตกอยู่ในสภาวะความเครียดเพราะต้องใช้พลังงานสมอง ต้องคิดหนัก ต้องพยายาม ต้องค้นหาศึกษาข้อมูลละเอียด สุดท้ายเรามักจำนนต่อความรู้สึกจาก ลิมบิก ที่ก่อกวนส่งความรู้สึกเดิมๆ ซ้ำแล้วซำ้อีกที่เรียกว่า Auto-suggestion
Auto-Suggestion | แนะนำอัตโนมัติ
อีกหนึ่งคุณสมบัติ ของสมองส่วนลิมบิกคือ เขาจะคอยตามตื้อเราไปเรื่อยๆ โดยการแนะนำการตัดสินใจแบบอัตโนมัติ ในรูปแบบความรู้สึกซ้ำแล้วซำ้อีกและจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
… มันหมายความว่าอย่างไร ?
เวลาที่คุณพยายามไม่ทานของหวานเพื่อลดความอ้วน ความอยากจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตไหมครับ หรือ คุณเคยว่าใครไหมครับว่า “สอนแล้วทำไมไม่รู้จักจำ” นั้นเป็นเพราะว่าสิ่งที่คุณสอนเขาไป ข้อมูลไปอยู่ใน neocortex (ไม่ใช่ลิมบิก) ซึ่งในช่วงเวลาที่คุณกำลังสอนด้วยเหตุผล ผู้ฟังเข้าใจและเห็นด้วย แต่สุดท้ายก็กลับไปทำสิ่งเดิม เพราะจิตใต้สำนึกหรือ ลิมบิกนั้น จะคอยตามตื้อให้ทำสิ่งที่ความรู้สึกแนะนำสมองส่วน neocortex อัติโนมัติไปเรื่อยๆ และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกตัวอย่างสั้นๆ เมื่อคุณตัดสินใจ เริ่มออกกำลังกาย (ช่วงที่คุณใช้ neocortex) แต่ความรู้สึกขี้เกียจจะคอยแนะนำให้คุณไม่ออกกำลัง โดยการส่งสัญญาญการตัดสินใจไปว่า “ฉันไม่อยากออกกำลัง” สมองส่วน neocortex ก็จะเริ่มหาเหตุผล (ข้ออ้าง) ต่างๆ มาประกอบการตัดสินใจของลิมบิก ซึ่งถ้าคุณไม่ตั้งสติ เอาชนะการตัดสินใจของลิมบิกนั้น คุณก็จะกลับมาขี้เกียจเหมือนเดิม
ฉะนั้น…
ข้อมูลใด ที่สามารถเข้าไปอยู่ในสมองส่วนลิมบิกของคุณได้
ทุกการตัดสินใจของคุณก็จะเป็นไปตามนั้น ชีวิตของคุณก็จะเป็นไปตามนั้น
ข้อมูล ความเชื่อต่างๆ สามารถเข้าไปในสมองส่วนลิมบิกได้อย่างไร?
ข้อมูล ความเชื่อต่างๆ สามารถเข้าไปในสมองส่วนลิมบิก หรือ จิตใต้สำนึก ได้ด้วยเพียง 3 วิธี และ 3 วิธีเท่านั้น ได้แก่:
- การใส่ข้อมูล เดิมๆเป๊ะ ซ้ำๆๆๆๆ
- การกระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรงแล้วใส่ข้อมูล
- เข้าโดยธรรมชาติในช่วงอายุ 0-5 ขวบ
นอกเหนือจาก 3 วิธีนี้ ข้อมูลไม่สามารถ เข้าไปในจิตใต้สำนึกได้
มันเป็นธรรมชาติของการทำงานของสมองมนุษย์นี้แหละครับคือสาเหตุที่เราไม่สามารถดัดนิสัยผู้ใหญ่ได้ ต้องดัดตั้งแต่เด็ก
มีอีก 1 อย่างที่เราต้องเข้าใจสมองของเรา สมองทั้งสองส่วนนี้ ไม่สามารถทำงานพร้อมๆ กันได้
‘เมื่อตื่นตระหนก เราจึงขาดสติ เสมอ เมื่อตั้งสติได้ เราจึงหายตื่นตระหนก’
- ใครที่มีสติที่ดีก็จะตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผล
- ใครที่ขาดสติ (เจ้าอารมณ์) จะตัดสินใจบนพื้นฐานอารมณ์
- เวลาที่ทั้ง สองเกิดทำงานสลับไปมา จะเกิดภาวะการสับสน ซึ่งจะนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและความเครียด ในสมองส่วนตรรกะ (ไม่ใช่ส่วนลิมบิก) สุดท้ายผู้นั้นก็จะตัดสินบนพื้นฐานของอารมณ์ เพราะไม่ไหวแล้ว สิ่งนี้เรียกว่า Cognitive Fatigue คุณเคยสังเกตหมอบนทีวีให้ข้อมูลการฉีดกลับไปกลับมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือบางที หมอแต่ละคนให้ข้อมุลขัดกันเองไหมครับ? นั้นแหละ คนทั่วไปไม่รู้หรอกว่ากำลังถูกพวกเขาเล่นงานเรื่องทางจิตวิทยาอยู่ โดยเฉพราะหมอยง และหมอประสิท สองคนนี้ปั่นสมองประชาชนมึนตึบเลย
การล้างสมองคืออะไร?
การล้างสมองคือการใส่ข้อมูล/ความเชื่อ
เข้าไปในจิตใต้สำนึก หรือ สมองส่วนลิมบิก
การล้างสมอง คือการใส่ข้อมูล ความเชื่อ เข้าไปใน จิตใต้สำนึก หรือ สมองส่วนลิมบิก
การล้างสมองมวลชน คือการใส่ข้อมูล ความเชื่อ เข้าไปใน จิตใต้สำนึก หรือ สมองส่วนลิมบิก ของผู้คนจำนวนมากโดยใช้เครือข่ายของสื่อ
จุดประสงค์คือ
- การใส่ข้อมูลความเชื่อ เข้าไปใน สมองส่วนลิมบิก และ
- ยุติการทำงานของ neocortex ให้คิดตื้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
- 11 ขั้นตอนการล้างสมอง แบ่งออกเป็น 3 เป้าหมาย ได้แก่
- ล้างสมองส่วน ลิมบิก
- กระตุ้นอารม (กลัว)
- พูดสิ่งเดิมๆ เป็ะ ซำ้ๆๆๆ
- หยุดสมองส่วน Neocortex (ให้คิดตื้นที่สุด)
- โยนหินถามทาง (ทีละนิด ทีละหน่อย)
- แอสโตรเทิรฟ (ระแวงหนึ่ง ฟังสอง เชื่อสาม)
- ความน่าเชื่อถือ
- ตามผู้ตาม
- กีดกันไม่ให้ neocortex กลับมาทำงาน (คิด) อีก
กระบวนการกีดกันข้อมูล กีดกันความเห็นต่าง และ ดึงความคิดกลับมาอยู่ในสิ่งที่ตนวางแผนไว้ เมื่อความเห็นต่างหลุดหรือปิดไม่อยู่ ความเห็นต่างสามารถกระตุ้นความคิด (neocortex) ได้ ฉะนั้นเขาพยายามกีดกันโดยการ- การเซนเซอร์ (ปกปิดความเห็นต่าง)
- FactCheck (การมีตัวกลาง ที่เป็นพักพวกของเขา)
- ใส่ร้ายป้ายสี (ทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ให้ความเห็นต่าง)
- การบิดเบือน เพื่อเปลี่ยนความหมาย (คงความเชื่อต่าง เพื่อสร้างความแตกแยกต่อ)
- ถามอย่าง ตอบอีกอย่าง (เปลี่ยนเรื่อง ออกจากประเด่น เพื่อลีกเลี้ยงการตอบคำถาม ความเห็นต่าง)
- ล้างสมองส่วน ลิมบิก
เมื่อเขาล้างสมองมวลชนได้สำเร็จ พวกอีลีต สามารถใส่ความเชื่อให้เราทั้งๆ ที่ผิดตรรกะได้ เพื่อเปลี่ยนสถานะสังคมจาก กรณีที่ 1 เป็น 2 ได้ และสร้างความแตกแยกในสังคมได้ ซึ่งจะนำไปสู่การปกครองด้วยกลยุทธ์ Divide & Rule เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาสามารถสร้าง Reaction หรือ ปฏิกิริยา ในกลยุทธ์ Problem | Reaction | Solution หรือ ปัญหา | ปฏิกิริยา | ทางออก เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนได้สำเร็จ
ซับซ้อนไหมครับ? การหลอกลวงที่ดีคือการมีเรื่องที่ซับซ้อนให้มากที่สุด
ขั้นตอนการล้างสมองมวลชน
11 วิธีนี้มีบทบาดที่ต่างกัน มีขั้นตอน และสามารถผสมกันให้เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นได้
- เริ่มจาก
- โยนหินถามทาง (เป้าหมายคือ เริ่มแนะนำสิ่งใหม่ทีละนิด ทีละหน่อย เพื่อให้เรามองข้ามเพราะเป็นเรื่องเล็ก โดยที่พวกเขาต้องห้ามทำให้เกิดการต่อต้าน การสงสัย หรือ รู้สึกบีบบังคับการเปลี่ยนแปลง )
- พูดซำ้ๆๆๆๆๆ
- แอสโตรเทิรฟ (ระแวงหนึ่ง ฟังสอง เชื่อสาม)
- กระตุ้นอารม (กลัว)
- ความน่าเชื่อถือ
- ตามผู้ตาม
1. โยนหินถามทาง (ใส่ข้อมูลทีละนิด ทีละหน่อย เพื่อให้เรามองข้าม)
โยนหินถามทาง (เป้าหมายคือ เริ่มแนะนำสิ่งใหม่ทีละนิด ทีละหน่อยในทิศทางของเป้าหมายใหญ่ เพื่อให้เรามองข้ามเพราะเป็นเรื่องเล็ก โดยที่พวกเขาต้องห้ามทำให้เกิดการต่อต้าน การสงสัย หรือ รู้สึกถูกบีบบังคับการเปลี่ยนแปลง )
พวกเราทุกคนโยนหินถามทางในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังใช้ วิธีนี้อยู่ หากเราต้องการอะไรก็ตาม เราอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกต่อต้านได้ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องเข้าหาทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ โยนหินถามทางเพื่อดูการตอบสนองของเขาและค่อยๆ เพิ่มระดับไปถึงเป้าหมายของเรา
หัวใจของความสำเร็จในเรื่องนี้คือ มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ได้ง่ายตราบใดที่ไม่มากจนเกินไป เมื่อเราปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่นั้นได้ เขาก็ชยับออกไปอีกนิด ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
เมื่ออีลีต ต้องการปรับเปลี่ยนพวกเรา พวกเขาจึงค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เช่น อีลีตต้องการ
- ปิดโลก ทำลายเศษกิจ (วาระการควบคุมเงิน)
- จับทุกคนใส่แมส (วาระการควบคุมเราทางจิตวิทยา)
- บังคับทุกคนฉีดวัคซีน (วาระลดประชากรโลกและ ระบบควบคุมมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี)
ลองทบทวนความจำในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาดูครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (แค่นิดหน่อย)
- ปิดโลก ทำลายเศษกิจ (เป้าหมายคือทำให้คนหมดตัว เพิ่งพารัฐบาล และ ในที่สุดสร้างสถารการ การหลมเหลวของสถาบันการเงิน ที่จะนำไปสู่การ Reset และเปลี่ยนระบบการเงินเป็นสกุล CBDC (Central Bank Digital Currency) ซึ่งก็คือ 1 สกุลเงินดิจิทอล ใช้ทั่วโลกที่ควบคุมโดย IMF หรือ อีลีต) เหตุการนี้จะเกิดขึ้นในปี 2022-2023 นี้
เริมทำลายเศษกิจทีละนิดทีละหน่อย- ไปข้างนอกได้ แค่ ลดการพูดคุยกัน
- พบปะเพื่อนฝูง ญาติมิตรได้ แค่ แนะนำให้เว้นระยะห่าง
- เปิดร้านอาหารได้ แค่ ห้ามนั่งทานในห้องแอร์ (เซเว่นเปิดแอร์ได้ เพราะ เป็นของอีลีต)
- เปิดร้านอาหารได้ แค่ ห้ามขายสุรา (เจ้าของร้านอาหารจะรู้ดีว่า สุราคือสิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้านั่งนาน ไม่งั้น ธุจกิจอยู่ยาก)
- ล้อกดาว แค่ 00:00 ถึง 03:00 (ไร้สาระไหมครับ หยุดไวรัสโดยการเปิดกลางวันตอนที่ผู้คนไปมา แต่ปิดกลางคืนตอนที่ผู้คนนอนหลับ ถ้ามองในแง่การหยุดไวรัส ไร้สาระมาก แต่เป้าหมายคือค่อยๆ เอาอิสรภาพของคุณไป ซึ่งพวกเขาต้องระวังมากๆ จึงต้องทำคราวละนิด ช้าๆ ไม่ให้คนต่อต้านและให้เวลาผู้คน คุ้นเคยกับ New Normal ที่จะมีอิสรภาพน้อยลงเรื่อยๆ)
- ล้อกดาว แค่ 23:00 ถึง 04:00
- ล้อกดาว แค่ 22:00 ถึง 05:00
- ปิดกิจการ แค่ บางประเภทเท่านั้น
- ปิดกิจการ แค่ บางประเภท (เพิ่มประเภท) เท่านั้น
- ปิดกิจการ ทั้งหมด แค่ 14 วันเท่านั้น
- ปิดกิจการ แค่ x วันเท่านั้น
- ปิดกิจการ แค่ 2-3 เดือนท่านั้น
- ทุกวันนี้
- ขายสุราได้ แค่ถึง 20:00 เท่านั้น แต่นั่งทานอย่างอื่นได้ (ดื่มสุราหลัง 20:00 แล้วไวรัสจะระบาดหรือ?)
- เปิดร้านอาหารได้ แค่ถึง 22:00 เท่านั้น (แต่ฟาสฟูดเปิด 24 ชม ได้ เพราะเป็นของอีลีต)
- ทุกวันนี้
- จับทุกคนใส่แมส
- เป้าหมายของ แมส มี 3 อย่าง
- กดภูมิต่านทาน
- ทำลายอัตลักษณ์ ทำลาย Self-respect ซึ่งเป็นพื้นฐาน การควบคุม (เช่น ถ้าผมให้คุณคุม สองคน คนแรก ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง คนที่สอง ความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ใครคุมง่ายกว่ากัน? ทำไมครับ? เพราะ self respect คนความมั่นใจน้อย ไม่เครรพให้เกีตรตนเองเท่าคนความมั่นใจสูง Self Respect อยู่บนพื้นฐานของ Self Identity ตัวอย่างเช่น คนหน้าตาดีมักจะมีความมั่นใจมากกว่าคนหน้าตาไม่ดีมากนัก
แมสทำลาย self identity ที่ลด self respect สุดท้าย การส่วนแมสระยะยาวจะเกิดการกดมวลชนได้ ที่เขาเรียกว่า Submissive เรื่องนี้ลึกมาก ผมค่อยอธิบายในบทความที่ 2 ครับ ) - แยกมนุษย์ และ หยุดการสร้างความสัมพันใหม่ – ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาคุณมีเพื่อนใหม่กี่คนครับ? และ ห่างหายไปจากเพื่อนเก่ากี่คน? เวลาที่คุณไปข้างนอก คุณรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนโลกนี้คนเดียวไหมครับ เพราะทุกคนที่เหลือไม่มี “หน้า” เป้าหมายอันนี้เกี่ยวกับการทำลาย กรณี 1 ที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน
- แนะนำให้ใส่แมส แค่ บุคลากรทางแพทย์ เท่านั้น
- แนะนำให้ใส่แมส แต่ ไม่จำเป็น
- ควรใส่แมส เวลาที่ออกไปข้างนอก
- ต้องใส่แมสในรถ
- ไม่ใส่แมสปรับ 20,000บ
- ในบางประเทศ ต้องใส่แมสในบ้านด้วย
- แนะนำให้ใส่แมส สอง ชั้น
- เป้าหมายของ แมส มี 3 อย่าง
- บังคับฉีดวัคซีน อีลีตต้องการ วัคซีนพาสพอร์ต และ ลดประชากรโลกโดยการฉีดยาที่ไปทำลายภูมิต้านทาน เมื่อภูมิถูกทำลาย อาการต่างๆ กำเริบ แล้วพวกเขาโทษ “โรคประจำตัว”
- วัคซีนป้องกันได้
- สองเข็มป้องกัน
- วัคซีนมีประสิทธิภาพ 50-92%
- ระดมฉีด รัฐบาลสัญญาเปิดประเทศภายใน 120 วัน
- พอฉีดกันเส็จ… วัคซีนป้องกันไม่ได้
- อาจต้องเพิ่มเข็ม
- อาจต้อง เว้นระยะต่อ (แปลว่าต้องสั่งปิดกิจการ)
- แนะนำให้ฉีดเพิ่ม
- อาจต้อง 3 เข้ม
- ต้อง 3 เข็ม
- อาจต้อง 4-5 เข้ม
- ทุกวันนี้ อนุทินบอก 1 เข็มทุกๆ 3 เดือน
- ไม่บังคับฉีด
- ไม่บังคับฉีด แต่ห้ามทำงาน
- ไม่บังคับฉีด แต่ห้ามไปเรียน
- ไม่บังคับฉีด แต่ห้ามข้ามจังหวัด
- ไม่ฉีดก็ได้ แต่ห้ามเดินทาง
- คนที่ไม่ฉีดคือคนเห็นแก่ตัว (ถ้าป้องกันไม่ได้แล้วเห็นแกตัวได้อย่างไร?)
- โรคระบาดในกลุ่มคนไม่ฉีด (ได้ไงครับ?)
เขาเดินหน้าทีละนิดทีละหน่อย เพื่อหลอกไปเรื่อยๆ และไม่ให้เกิดการต่อต้านเพราะถ้าเรื่มด้วยการบอกว่า ต้องฉีดยาทดลองที่ไม่สามารถป้องกันได้ และไม่รู้ว่าปลอดภัยหรือไม่ 2 เข็มในรอบแรกตามด้วยเข็ม 3 แล้ว แล้วฉีดอีก 1 เข็มทุกๆ 3 เดือน ผู้คนจะต่อต้านทันที
บางท่านมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ ในเมื่อเชื่อมันกลายพันธ์ ก็ต้องฉีดเพิ่ม… ไม่จริงครับ มันคือแผนการและนี้คือหลักฐาน (คลิปนี้ออกช่วงกลางปี 2021)
ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ บริษัท Moderna ลงทุนเป็นหมื่นๆ ล้านผลิตวัคซีนสำหรับปี 2022 และหลัง 2022 ทำไมครับ? รัฐบาลหลายประเทศสั่งซื่อวัคซีนจนถึงปี 2024-2025 ถ้านี้ไม่ใช่แผนการ แล้วไวรัสเกิดไม่กลายพันธ์ พวกเขาไม่เสียหายหรือ เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงหรือครับ? อีกอย่าง เขาเริ่มกระบวนการผลิตวัคซีนล่วงหน้า 2-3 ปี เขารู้ได้ไงว่าไวรัสจะกลายพันธ์เป็นอะไร?
ผลิตมาแล้วก็ต้องฉีด จะฉีดก็ต้องทำให้คนกลัว พอคนหายกลัวก็ต้องมีสายพันธ์ใหม่ พอสายพันธ์ใหม่มาก็มีข่าวทำให้คนกลัว (การตลาด)
ลองทำความเข้าใจ 3 ภาพนี้ครับ
2. พูดประโยคเดิมๆ เป็ะ ซำ้ๆๆๆๆๆ
ฮิตเลอร์เคยกล่าวไว้ว่า
คุณไม่จำเป็นต้องพูดความจริง คุณสามารถ ผลิกข้อมูลกลับหัวกลับหาง แล้ว พูดซำ้ๆๆๆๆๆ เดี่ยวประชาชนเชื่อสิ่งผิดๆ นั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกเอง
เพราะการใส่ข้อมูล แบบเดิมเป็ะ ซ้ำๆๆๆ กัน ข้อมูลนั้นจะเข้าไปอยู่ใน จิตใต้สำนึกหรือ สมองส่วนลิมบิกของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จะตัดสินใจบนพื้นฐานความเชื่อนั้น อะไรก็ตามที่โยงไปกับความเชื่อ จะสมเหตุสมผล สำหรับผู้นั้น ที่สำคัญ ความจริง และตรรกะอื่นๆ จะขัดต่อความเชื่อของพวกเขาและจะถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่จริง
คุณเคยถูกคุณครูลงโทษแบบนี้ เวลาที่ไม่ทำการบ้านไหมครับ?
สื่อใช้กลยุทญ์นี้มานานแสนนานมาก ลองมาดูตัวอย่างสั้นๆ ครับ (3 นาที)
3. แอสโตรเทิร์ฟ (ระแวงหนึ่ง ฟังสอง เชื่อสาม)
ข้อมูลอะไรก็ตามที่พวกเราได้ยินครั้งแรก พวกเราอาจไม่สนใจหรือ ไม่เชื่อ แต่หากเราได้ยินข้อมูลเดิมจากบุคคลที่สอง เราจะเริ่มสงสัย หรือ เชื่อมากขึ้น นักจิทวิทยาชื่อดัง Dr. Dan Ariely กล่าวไว้ว่า หากเราได้รับข้อมูลเดียวกันจากบุคคลที่ 2 เราจะเชื่อข้อมูลนั้น 50% แต่หากเราได้รับข้อมูลเดิมจากบุคคลที่ 3 เราจะเชื่อ 80-100% แล้วหากเราฟังมาจาก 4 แหล่ง เราจะเริ่มปล่อยข่าวนั้นให้ผู้อื่น
ด้วยอำนาจของ อีลีตที่ควบคุมสื่อเกือบทั้งหมด ทำให้เขาสามารถวางข้อมูล ผิดๆ ในจุดต่างๆ ได้ เช่น หลายๆ ช่องออกอากาศ ผลวิจัย สำนักข่าว หนังสื่อพิมพ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ รัฐบาล เพียงเท่านี้ผู้คนก็ง่ายต่อการตายใจเชื่อสิ่งนั้นทันที (นอกจากว่า ผู้คนทำการศึกษาหาสาเตุที่มาที่ไป ของข้อมูลนั้น เขาจะเห็นว่า มันคือการโกหก )
กลยุทธนี้เรียกว่า แอสโตรเทิร์ฟ
4. กระตุ้นอารมณ์ (รุนแรง)
อย่างที่ผมได้อธิบายเรื่องช่องทางการนำข้อมูลส่งเข้าสู่ จิตใต้สำนึกโดยตรงที่มีอยู่ 3 วิธี (การใส่ข้อมูล เดิมๆ ซ้ำๆๆๆๆ | การกระตุ้นอารมอยางรุนแรงแล้วใส่ข้อมูล และ | เข้าโดยธรรมชาติในช่วงอายุ 0-5 ขวบ)
การกระตุ้นอารมณ์รุนแรง ที่เขาใช้มากที่สุดในช่วงโควิดคืออารมณ์ความกลัว ผมขอยก 2 ตัวอย่างที่เขาใช้ การหลอกลวง แล้วทำให้ผู้คนกลัวจนขนหัวลุก
ก. ภาพเหตุการ กระตุ้นการ ตื่นตระหนก เช่น คนนอนตายริมทาง โรงพยาบาลเต็ม
ข. ทำให้แพทย์กลัว โดยการสั่งให้รักษาด้วยแนวทางผิดๆ ที่ทำให้คนตายต่อหน้าต่อตาหมอ
เริ่มจากข้อ ก : สร้างความตื่นตระหนก
คนไม่เคยตายริมทางจากโควิด และ โรงพยาบาลไม่ได้เต็มจริง แพทย์/พยาบาลไม่ได้ขาดแคลน
มันคือละคร มันคือการจัดฉาก การถ่ายทำโดยมืออาชีพ และ นักแสดงมือาชีพ
เขาทำกัยอย่างไร?
สื่อ
- ทีมประกาษ
คนเหล่านี้มักหน้าตาดี พูดจาดี บุคคลิคดี (ซึ่งสำคัญ สังเกตเซลขายของดูครับ) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม- เป็นผู้ที่เป็นคนดีจริง แต่ไม่มีความรู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น เขารับข่าวมาแล้วถูกใช้งานให้พูดเท็จโดยที่ไม่รู้ตัว
- ผู้ประกาศข่าวอีกกลุ่มจะเป็นประเภทพวกที่ยอมขายจิตวิญญาญของคนเพื่อเงิน เพื่อพูดในสิ่งที่ตนเองรู้ว่ากำลังบิดเบือนหรือพูดเท็จ ตัวอย่างมีเยอะแยะครับที่คนเหล่านี้เคยติดคุกเพราะธุจริต หรือถูกจับได้ว่าโกหก แต่ประเด่นที่สำคัญกว่า ที่ผมอยากบอกคือ ทีมถ่ายทำ และ นักแสดงที่เรียกว่า Crisis Actor
- ทีมถ่ายทำ
พวกนี้คือมิฉฉาชีพ ที่เชี่วชาญเรื่องการถ่ายทำ ในนามของสื่อ ผมจะไม่เขียนอะไรมากแต่จะแสดงคลิปให้คุณชม คลิปเหล่านี้หาดูได้ยาก เพราะทีมถ่ายทำมักระวังตัวเป็นพิเศษ
ทีมแพทย์ (นักแสดง) วิ่งผ่านกล่อง พอเข้าห้องแล้ว หยุด
โรงพยาบาลเต็ม
โรงพยาบาลไม่เคยเต็มครับ ผมรู้ว่าคุณเห็นมาแล้วว่ามันเต็มจริงๆ … ผมขออธิบายว่าพวกเขาทำอะไร อย่างไร ในการหลอกลวง (ในต่างประเทศ แล้ว จะอธิบายว่าเขาทำอย่างไรในไทย)
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจ 1 อย่างครับ การหลอกหลวงนี้เป็นแผนการ ฉะนั้นพวกเขามี “แผน” และทุกอย่างเป็นไปตามแผนนั้น เกิดในต่างประเทศก่อน เหตุการณ์ในประเทศไทยมักจะตามสิ่งที่เกิดในประเทศอื่น เขาทำที่อื่นก่อน (ทุกเรื่อง การฉีดวัคซีน ข่าวการฉีดเพิ่ม จะเกิดที่อื่นแล้วตามมาในไทย)
ถ้าผมถามคุณว่าสถานที่ใด เสี่ยงต่อการติดเชื่อมากที่สุด คนส่วนใหญ่จะตอบว่า โรงพยาบาล ทำไมคนส่วนใหญตอบเป็นเอกฉันว่า โรงพยาบาล? คำตอบคือพวกเขาใส่ในสมองเราไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว เช่นการปรบมือตอน 20:00น ให้แพทย์ การที่มีสื่อชี้นำว่าแพทย์ตกอยู่ในอันตราย/ความเสี่ยง สิ่งที่พวกเขาทำคือการชี้แนะว่า โรงพยาบาลเป็นสถานที่อันตราย เขาทำให้คนกลัว โรงพยาบาล เพื่อให้มีการลีกเลี้ยงซึ่งจะนำไปสู่การกีดกันไม่ให้คนรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในโรงบาลเมื่อเขา ปิดการให้การรักษา โดยการประกาศว่าโรงบาลเต็ม เต็มไปด้วยคนที่ติดเชื่อ ซึ่งคือแผนการเพื่อทำให้เกิดการตื่นตระหนกในสังคม
ผมขอทำความเข้าใจอีกนิดนะครับ ประเด่นที่ผมตั้ง คือสื่อสงเสริมความกลัวการไปโรงพยาบาล
เมื่อเป็นเช่นนั้น จะไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นข้างใน
ช่วงที่ข่าวออกโควิดระบาดหนักๆ โรงบาลในต่างประเทศว่างจนแทบร้าง แล้วพวกเขาประกาศว่าโรงบาลเต็ม มีคนในต่างประเทศเข้าไปดูแล้วพบว่าโรงบาลว่างแล้วถ่ายคลิปมาลง จนกลายเป็นประเด่นในต่างประเทศ ผู้คนจำนวนมากเริ่มไปถ่ายคลิปในหลายๆ แห่ง จังหวัด และ ประเทศ ลงอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่าโรงพยาบาลว่างเกือบทั้งหมด แต่ในข่าวประกาศว่าโรงบาลเต็ม อุปกรณ์ไม่พอ จำนวนแพทย์ พยาบาลไม่พอ สร้างความตื่นตระหนกในสังคมทำให้คนกลัวว่าถ้าตนเองติดแล้วจะไม่มีที่รักษา คนก็ยิ่งไม่ออกจากบ้าน (ไม่ต้องพูดถึงการไปโรงพยาบาล)
พยาบาลทั่ว สหรัฐฯ และ ยุโรปเริ่มออกมาทำคลิปแฉให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่จริง และ คำคลิปเต็นท่าเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนรับรู้ว่า พวกเขา ‘ว่างมาก’ โรงพยาบาล ไม่เต็ม! ICU ไม่เต็ม!
นี้หรือ โรคระบาดใหญ่ โรงพยาบาลเต็ม แพทย์/พยาบาลไม่พอ?
คนไม่รู้ เพราะไม่มีใครกล้าไปที่นั้น + ปิดการให้บริการ
#filmyourhospital เริ่มไวรัล (แล้วถูกเซนเซอร์) ผู้คนเริ่มไปถ่ายคลิปตามโรงพยายาลมาลง โรงบาลว่างทั้งโลกครับ!
คลิปเหล่านี้มีเยอะมาก ผมไม่สามารถมาลงในหน้านี้ได้ หากคุณสนใจชมเพิ่ม ผมรบกวนคุณเข้าไปที่
แล้วค้นหาคำว่า Empty Hospital หรือคลิกลิงค์นี้ก็ได้ครับ https://rumble.com/search/video?q=empty%20hospital
ในทางกลับกันคุณจะไม่สามารถหาคลิปเหล่านี้ได้บน Facebook, Youtube, Twitter และ อื่นๆ เพราะเขาเซนเซอร์พวกเรา
พวกเขาจ้าง Crisis Actor มาถ่ายทำ ลงข่าว ให้คนกลัว ผมลงคลิปเดียว คุณสามารถคนหาเพิ่มได้ด้วยคำ Crisis Actor
ผมขอแปลซับ เป็นไทยตรงนี้แทนครับ " เราโกหกและทำการจำลองอย่างที่คุณเห็น เพราะที่นี้คือ ศูณย์ โคโรน่าใหม่ และนี้คือการซ้อมกันก่อน พวกเราได้รับหน้าที่กัน และนี้คือของฉัน แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าคุณรู้สึกว่าคุณหายใจไม่สะดวก ตอนเวลา 13:35น และ 13:00น ฉันมีเวลาอีก 5 นาที นี้คือหมายเลขเตียงของฉัน และ พวกเราได้รับค่าตอบแทนสำหรับสิ่งนี้ "
“แต่ในเมืองไทย โรงพยาบาลเต็มจริงๆนะ ผู้คนนอนหน้าโรงบาลเต็มเลย” … ใช่ครับ เรื่องนี้จริง… แต่ไม่จริงครับ… ให้ผมอธิบายว่าเขาทำอะไร
อย่างที่ผมเรียนไปก่อนหน้านี้ เหตุการต่างๆ จะเกิดขึ้นก่อนในต่างประเทศ แผนการการหลอกลวงว่าโรงพยาบาลเต็มด้วยวิธีนั้นหลมเหลว ฉะนั้นประเทศต่อๆมา ที่มีการจัดฉากว่า “โรงบาลเต็ม” มีการปรับเปลี่ยนวิธีใหม่
สิ่งที่เขาทำคือ ตั้งค่า CT ของ PCR (เครื่องตรวจโควิด) สูงถึง 45 รอบ (ในเมืองไทย) ทำให้คนที่สบายดีเมื่อไปตรวจ ผลจะออกมาว่า ‘ติดโควิด’ ข่าวก็จะออกว่ามีผู้ติดเชื่อเพิ่ม คนก็กลัวว่าตนเองอาจติดเพราะโรคกำลังระบาดหนัก แล้วไปตรวจกันมากขึ้น และด้วยค่า CT ที่สูง ผลลวงหรือ False Positive ก็จะเพิ่ม คนก็ยิ่งกลัว ไปตรวจมากขึ้น จำนวนเคสก็เพิ่มขึ้น ผู้คนทั้งหมดนี้ก็จะได้เข้าไป ‘นอนรักษา’ ในโรงบาลจำนวนมากจน โรงพยาบาลเต็ม สุดท้ายเหตุการที่เกิดขึ้นคือ คนส่วนใหญ่ไปนอนเล่น 14 วันแล้วออกมา บางคนไม่จำเป็นต้องทานยาอะไรด้วยซ้ำ ลองถามเพื่อนรู้จักที่ติดแล้วเข้าโรงบาลช่วงโรงบาลเต็มดูครับ คนที่ป่วยหนักก็มี แต่จำนวนที่เยอะที่ทำให้โรงบาลเต็มมาจาก PCR
ผมเคยไปถามพยาบาลที่โรงบาลแห่งนึงว่า พื้นที่โถงในโรงบาลก็มี ทำไมให้ผู้ป่วยนอนเตียงด้านนอก คำตอบคือ ภายในมีแอร์เชื่ออาจระบาดในผู้ป่วยมากขึ้น (ในใจแอบคิดว่า เขาติดกันแล้วไม่ใช่หรือ) ผมมองว่าภาพการนอนในและนอกโรงบาล มีความน่ากลัวแตกต่างกัน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สาระการพิสูจน์คำกลาวหาใดๆ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผม
ข. ทำให้แพทย์กลัว โดยการสั่งให้รักษาด้วยแนวทางผิดๆ ที่ทำให้คนตายต่อหน้าต่อตาหมอ
กระบวนการเป็นอย่างไร? ลองฟังคลิป 7 นาทีนี้กันครับ
ผมอธิบาย 4 วิธีการล้่งสมองมวลขนไปแล้ว ก่อนที่ผมจะไปต่อ เราลองมาฟัง นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ดูครับ เพื่อเข้าใจ 4 ข้อนี้มากขึ้น อาจารย์ อรรถพล เป็นแพทย์ทางด้านจิตวิทยาที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรม (คลิป 8 นาที)
มีอะไรอีกนอกจาก 4 ข้อนี้ โยนหินถามทาง (ทีละนิด ทีละหน่อย ) | พูดซำ้ๆ | แอสโตรเทิรฟ | กระตุ้นอารม เรามาต่อกันครับ
5. ความน่าเชื่อถือ
พวกเราตัดสินใจบนพื้นฐานของความน่าเชื่อถือเป็นหลัก คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลา หรือ ไม่สนใจศึกษาข้อมูลเชิงลึก เราจึงต้องใช้ทางลัดในการตัดสินใจ เพราะสมองส่วนการตัดสินใจอย่างที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านี้ อยู่ในสมองส่วนลิมบิก ซึ่งรวมถึงความไว้วางใจ หรือ ความน่าเชื่อถือ
ผมรู้จักพี่ท่านหนึ่งเป็นคนที่แข็งแรงดี เขาไปฉีดเข็มแรกมาแล้วรู้สึกอ่อนแรงในแขน แขนเขาแทบหมดกำลัง พอไปปรึกษาหมอ หมอบอกไม่เกี่ยวกับวัคซีนและแนะนำให้ฉีดเข็มที่สอง ทั้งๆ ที่พี่เขารู้แกใจว่าเขาเป็นแบบนั้นหลังจากการฉีดแต่ก็เชื่อหมอแล้วไปฉีดเข็มที่สอง ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว… หมอบอกการเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับวัคซีน
นี้คือพลังของสมองส่วนลิมบิก ที่สามารถ เอาชนะเหตุผลได้ ที่ใช้พื้นฐานการตัดสินใจบนคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ
6. ตามผู้ตาม
เวลาเราซื่อของ เรามักดูรีวิวก่อนเสมอ นั้นเป็นเพราะสมองของเราหาทางลัดเพื่อลดภาระการใช้งานของสมอง นี้คือสาเหตุที่แพทย์นักการเมือง ดารา ต้องถ่ายคลิปฉีดวัคซีนตนเองออกสื่อ เมื่อผู้คนเริ่มตาม ก็จะมีคนตามผู้ตามมากขึ้น กระบวนการนี้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ กระบวนการนี้เรียกว่า Snowball Effect
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็จะตามๆ กันโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่นั้น มันถูกหรือผิด
เพื่อหยุดไม่ให้ผู้คนตั้งคำถาม หรือ มองเห็นถึงการหลอกลวง อีลีตจำเป็นต้องปิดกันไม่ให้ข้อมูลตรงกันข้ามเข้าถึงผู้คน จึงต้องมีกระบวนการปิดกัน
การเซนเซอร์
ปัจจุบัน ข้อมูลจากนักวิทยาศาสต์ชั้นนำของโลก ที่ออกมาให้ข้อมูลตรงกันข้ามกับสิ่งที่อีลีตต้องการให้เรารู้ ถูกเซนเซอร์
YouTube ลบคลิปของ ศ. นพ. สุจริต ภักดี YouTube เขารู้เรื่องไวรัสวิทยามากกว่า ศาสตราจารย์เฉพาะทางหรือ? ฝากให้คิดด้วยครับ17
ผู้คิดค้นเทคโนโลยี mRNA ดร.โรเบิร์ต มาโลน บัญชี Twitter ของท่านถูกระงับ นี่คือเหตุผลที่คนไม่รู้ความจริง เราทุกคนกำลังถูกเซ็นเซอร์อย่างไร้ความปราณี
FactCheck
เวลาที่มีข้อมูลความจริงหลุดออกมา อีลีตต้องรีบออกมาแก้ข่าวโดยใช้สื่อมา FactCheck ซึ่งอย่างที่เราทราบกันแล้ว บริษัท FactCheck ทั้งหลายเป็นของพวกเขาที่ประสารงานกับ สื่อต่างๆ
สมมุติว่าเราอยากรู้ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จริงหรือไม่ สิ่งที่เรา (และคนทั่วไป) จะทำคือไป Google แล้วค้นคำว่า (เช่น) “covid vaccine prion disease ”
อย่างแรก Google จะไม่แสดงผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ สิ่งที่ Google จะแสดงคือ คำกล่าวหาต่างๆ เป็นข่าวปลอม ซึ่งเราไม่ได้ถาม Google ว่ามันจริงหรือปลอม
ผลที่จะแสดงขึ้นคือ สื่อชื่อดังแสดงผล FactCheck ว่าเรื่องนี้เป็นข่าวปลอม
(เรื่องแบบนี้จะพบเห็นบ่อย เรื่องราวที่มีการกล่าวหาว่าจริง/ไม่จริง Google จะเอาสื่อพวกนี้นำหน้าเสมอ)
วิธีการที่พวกเขาใช้มีอยู่ 3 วิธีหลักๆ
1. Google จะเซนเซอร์ข้อมูลและแสดงข้อมูลในสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ผู้คนเชื่อ
2. FactCheck เพียงแค่มีคำว่า FactCheck ผู้คนมักอ่านหัวข้อข่าวและสรุปว่ามันไม่จริง เราถามหน่อย พวก FactCheck นี้คือใคร? พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสต์ที่รู้มากกว่า หรือ เท่าเทียม กับ นักวิทยาศาสต์ หรือ เป็นเพียงแค่ใครก็ได้ จบอะไรมาก็ได้ แล้วมาเป็นพนักงานบริษัทสื่อเหล่านี้? และได้ตำแหน่ง FactCheck
เราอยากทราบว่า พวก Factcheck เหล่านี้เป็นใคร มีการศึกษาระดับไหน เป็นนักวิทยาศาสต์หรือไม่ และที่สำคัญ พวกเขาได้ทำการวิจัยบนหัวข้อเดียวกัน เพื่อพิสูจร์ว่า มันเป็นข่าวปลอม หรือไม่ คำตอบตือไม่ หรือ อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงให้เห็น
3. การใช้คำพูดอย่างมืออาชีพเพื่อบิดเบืองข้อเท็จจริง คุณจะสังเกตได้ว่า พวกเขามักจะใช้ คำพูด “No Evidence” ซึ่งก็คือ “ไม่พบหลักฐาน ว่า … ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นข่าวปลอม..” พวกเขาจะไม่พูกว่าพบหลักฐานว่าเรื่องนี้ไม่จริง
ใส่ร้ายป้ายสี (ทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ให้ความเห็นต่าง)
แพทย์ นักวิทยาศาสต์ และ บุคคลต่างๆ ที่ทุกวันนี้ถูกโจมตีถูกกล่าวหาว่าร้ายต่างๆนั้น ก่อนโควิค เป็นกลุ่มที่ได้รับการชื่นชม ความเคารพ และ เป็นที่ยอมรับ แต่เมื่อท่านเหล่านี้ ออกมาพูดและเตือนเรื่องโควิดและวัคซีน พวกท่านกลายเป็น คนไม่ดีภายในข้ามคืน ผมไม่ได้หมายถึงท่านใดท่านเดียว แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นกับหลายต่อหลายท่านมาก
สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเกิดขึ้นจากการประสารงานระหว่าง สื่อชื่อดัง โซเชียงดังๆ รัฐบาล ทั้งหลาล ซึ่งเบื่องหลังแล้วถูกควบคุมโดยผู้คนกลุ่มเล็กที่เป็นพวกมหาอำนาจ ด้วยเหตคนี้ สื่อต่างๆ ที่พวกเราคิดว่าเป็นอิสระและต่างกัน เมื่อมาแสดงความคิดเห็นเดียวกัน ออกมาเขียนเกี่ยวกับหมอเหล่านี้ จึงทำให้เราคิดว่า มันเป็นเรื่องจริง เพราะเราเห็นคำอ่างอิงจากหลายสำหนัก
เมื่อเราเชื่อในผู้เชียวชาญ เราจึงไม่เชื่อผู้ ให้ข้อมูลเท็จ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ถูกโจมตีว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลเท็จ ผู้คนก็ไม่เชื่อเพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ ความจริงก็ถูกปิดบังอีกต่อไป
บางทีพวกเขาใช้ 2 วิธีหรือมากกว่า พร้อมๆกัน เช่นตัวอย่างคลิป 1 นาทีนี้ สื่อผสมการ ใส่ร้ายป้ายสีว่า ข้อมูล (ความจริง) ที่หลุดบนโซเชี่ยลว่าเป็นข่าวปลอม พวกเขาผสมการ ใส่ร้ายป้ายสี กับ การพูดซ้ำๆๆๆ เพื่อกีดกันไม่ให้คนทั่วไปรับฟังข้อมูลอีดด้าน
ตั่วอย่างคลิป 1 นาทีนี้ สื่อพูกว่า “ทุกวันนี้มีข่าวปลอมออกมาเยอะมาก … ซึ่งอันตรายต่อประชาธิปตัย”
การบิดเบือน เพื่อเปลี่ยนความหมาย (คงความเชื่อต่าง เพื่อสร้างความแตกแยกต่อ)
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการเดินเรียกร้องสิทธิ “ไม่ให้มีการบังคับฉีดวัคซีน” แต่สิ่งที่สื่อลงคือ
“… รวมตัวถอดแมสก์ จัดกิจกรรมต่อต้านการฉีดวัคซีน…”
ข้อความนี้ถูกบิดเบือน และ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม
- มนุษย์ถูกล้ามด้วยโซ่ของอารมณ์ … ความกลัว เปรียบเสมือนความมืด
- ความกลัวสลายได้ด้วยความรู้ เปรียบเสมือนแสงสว่าง
- ความรู้มาในรูปแบบของข้อมูลซึ่งต่องมีช่องทาง
- ช่องทางเกือบทั้งหมด พวกอีลีตควบคุม
- ที่แย่ไปกว่านั้น ช่องทางเหล่านี้กลับถูกใช้ในการนำความกลัวสู่มนุษย์
- มนุษย์จึงถูกล้ามโซ่ไปเรื่อยๆ
- และถูกชักจูงไปในสิ่งที่อีลีตต้องการ
- อีลีตต้องการ … วัคซีน พาสพอร์ท
- เพราะวัคซีน พาสพอร์ทคือ จิกซอ ชิ้นสุดท้ายของระบบ
- ระบบที่ว่าคือ ระบบควบคุมมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี
- ซึ่งถูกใช้ในประเทศจีนมาแล้วหลายปี
- ระบบนี้ชื่อว่า Social Credit System
- มันคือระบบทาสถาวรที่จะทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสอีกหลาย สิบ/ร้อย ปี
- จนกว่ามนุษย์จะลุกขึ้นรวมตัวกันต่อสู้
- ซึ่งพวกเรามีจำนวนเยอะกว่ามาก
- อีลีตสู้ไม่ได้ และอีลีตรู้ดี จึงจำเป็นต้องลดประชากรโลก (เริ่มจากตำรวจ ทหาร แพทย์ ที่ถูกฉีดไปก่อน เพราะพวกเขาคือกำลังหลักของประชาชน)
อีลีต ควบคุมมนุษย์มาโดยตลอด ที่ละนิด ที่ละหน่อย ขั้นตอนต่อไปของการควบคุมคือการควบคุมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งจำเป็นต้องนำผู้คนเข้าระบบ แต่จะทำยังไงละ?
คำตอบ : โควิด 19
– นี้คือที่มาของการหลอกลวงโควิด
– ทุกวันนี้ไวรัสที่น่ากลัวไม่ได้ระบาด
– มันจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อคุณกดภูมิต้านทานของคุณ (หากท่านกังวล ผมแนะนำ อาหารเสริมนี้ติดบ้านเอาไว้ ในกรณีที่คุณมีอาการ )
– เขาจัดการนก 2 ตัวกับหินก้อนเดียวซึ่งก็คือ…วัคซีน
– บังคับฉีดเพื่อนำคนเข้าระบบ (ไม่งั้นจำกัดสิทธิ) ไม่งั้นไม่มีทางอื่นที่จะนำคนเป็นพันล้านคนเข้าระบบ
– และ ลดประชากร
– โดยการหลอกลวงมวลชน เหมือนที่ ฮิตเลอร์ เคยทำ
– ส่วนหนึ่งของผู้ที่ฉีด อาจอยู่ได้อีกไม่นาน (ถ้าไม่ล้างผิษ)
– ผู้ที่ไม่ฉีดจะเป็นอิสระได้อีกไม่นาน (ถ้าไม่หยุดนั่งเฉยเสียที)
ถ้าท่านไม่เชื่อ ไม่เป็นไร เพราะผมเข้าใจ ว่า
- ความเชื่อ ของท่าน อยู่บนพื้นฐานของ มุมมอง ของท่าน
- มุมมองของท่าน อยู่บนพื้นฐาน ข้อมูล ที่ท่านได้รับ
- ประมาณ 90% ของข้อมูลที่ท่านได้รับ มาจาก สื่อหลัก และ โซเชียลมีเดีย (หรือ แพทย์ที่มีความเชื่อบนพื้นฐานที่มาจากระบบนี้เช่นกัน)
- ใครก็ตาม ที่ควบคุม สื่อหลัก และ โซเชียลมีเดีย (รัฐบาล องการณ์อนามัยโลก) สามารถควบคุม ข้อมูลที่สามารถ ลง หรือ ห้ามลง /ห้ามออกอากาศ หรือบิดเบือน เปลี่ยนความหมายได้
- ใครคนนั้น จะสามารถ ควบคุม ความเชื่อ และ พฤติกรรม ของมนุษย์ทั้งโลกได้ ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ
แล้วหากท่านเชื่อละ ทางออกคืออะไร?
ช่วยกันปลุกผู้คนให้ตื่นรู้ว่า…อะไรกำลังเกิดขึ้น
สำหรับท่านที่ฉีดแล้ว
- หยุดรับเข็มต่อไป
- หาวิธีเอาผิษออก –> https://rookon.com/?p=7167
- ยาฉีดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ
- ทำลายภูมิต้านทาน –> https://rookon.com/?p=7167 (เมื่อมีอาการแพทย์จึงบอกเป็นโรคส่วนตัว เพราะภูมิหาย โรคส่วนตัวก็ต้องถามหา)
- ก่อลิ่มเลือดในอวัยวะต่างๆ และ ในเส้นเลือด
- อื่นๆ
- ทั้งหมดนี้มีทางออก แต่ปัญหาคือ เมื่อผู้คนไปโรงพยาบาล แพทย์ ยังคงมีความเชื่อ ว่าวัคซีนปลอดภัย แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ กลุ่มแพทย์ได้รับ ‘วัคซีน’ ประเภทที่ปลอดภัย (ในระยะสั้น – 2 เข็มแรกเท่านั้น) คุณเคยสังเกตไหม ว่าประชาชน เสียชีวิต/บาดเจ็บ เยอะแยะมากมาย แต่แพทย์/พยาบาล แทบไม่เคยเป็นอะไร เพราะถ้าเขาเป็น เขาจะไม่สามารถแนะนำ หรือ เป็นตัวอย่างให้ประชาชนฉีดตาม
บางท่านอาจตั้งคำถามว่า ถ้าพวกอีลีตต้องการ ลดประชากรโลกจริง ทำไมไม่ปล่อยไวรัสดุร้ายออกมาเลย ทำไมต้องใช้วัคซีน?
คำตอบคือเขาทำไม่ได้และจะไม่มีวันทำ เพราะการทำเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมไวรัสได้ ซึ่งไวรัสอาจไปฆ่าพักพวกของเขา หรือ อาจฆ่าอีลีตเองได้ ฉะนั้นเรื่องการปล่อยไวรัสต่างๆ ที่น่ากลัวๆ จะไม่มีวันเกิดขึ้น
สำหรับท่านที่ฉีดแล้ว หรือ ยังไม่ได้ฉีดก็ตาม โปรดช่วยกัน
หยุด วัคซีน พาสพอร์ต
- คนที่ ฉีด สามารถติด และ แพร่เชื่อได้ไหม?
- คำตอบ: ได้
- คนที่ ไม่ฉีด สามารถติด และ แพร่เชื่อได้ไหม?
- คำตอบ: ได้
คุณเคยตั้งข้อสังเกตไหมครับว่า… ในเมื่อทั้งคู่สามารถ ติด/แพร่ เชื่อได้เหมือนกัน ทำไมคนที่ไม่ฉีด เท่านั้น ที่ถูกจำกัดสิทธิ?
เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพของเรา
“เขาต้องการ วัคซีน พาสพอร์ต“
- บางคนตอบว่า คนที่ไม่ฉีดเห็นแก่ตัว
- คำถามคือเห็นแก่ตัวได้อย่างไร ในเมื่อแพร่ได้ทั้งคู่
- บางคนตอบกลับว่า วัคซีนป้องกันไม่ได้ แต่ลดการตายได้ โรคระบาดจะได้ยุติ จะได้เปิดประเทศได้
- เรื่องนี้ไม่จริง แต่ถ้าจริงก็ตาม ทำไมไม่เปิดเลย คนที่ไม่ฉีดตายก็รับผิดชอบชีวิตตัวเอง
- ก็คนที่ฉีดจะโดนไปด้วย
- โดนได้อย่างไร ในเมื่อวัคซีนป้องกันผู้ฉีดไม่ให้ตายได้ ไม่ใช่หรือ
- ก็คนที่ไม่ฉีดทำให้ไวรัสกลายพันธ์ มาติดคนที่ฉีดแล้วตาย
- แล้วทำไมคนที่ไม่ฉีดไม่ตาย ถ้าไวรัสมาติดมีเพียงสองกรณีเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ ไวรัสชนะ คนไม่ฉีดตาย คนชนะไวรัสตาย ไวรัสกลายพันธ์เมื่อมีการต้านแบบไร้ประสิทธิภาพ (การฉีดวัคซีน)
- บางคนบอกว่ารัฐบาลมีหน้าที่ดูแลชีวิตทุกคน เลยต้องการให้ฉีดจะได้ไม่มีใครตาย
- ถ้างั้นรบกวนรัฐบาล ช่วยปิดโรงงานบุหรี่ ฟาสฟูด และ บริษัทน้ำอัดลม ก่อนที่จะปิดโลกได้ไหมครับ เพราะ 3 อุตสาหกรรมนี้ฆ่าคนปีละหลายร้อยล้านคน
สิ่งที่ผมพยายามแสดงให้คุณเห็นคือ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ เขาต้องการ วัคซีน พาสพอร์ต
ซึ่งก็คือ ระบบ Social Credit System หรือ การควบคุมมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี
รบกวนชมภาพ สองคนนี้ที่เขาจูงมือกันครับ คุณจะเข้าใจว่า ผู้คนทั้วโลกที่ออกมาประท้วงทุกวันนี้ไม่ใช่ ผู้ต่อต้านวัคซีน แต่ต่อต้าน วัคซีน พาสพอร์ต
คนหนึ่งฉีด อีกคนไม่ฉีด แล้วเขาออกมาต่อต้านอะไรกัน?
คำตอบ : วัคซีน พาสพอร์ต
คลิปด้านล่าง ผู้คนออกมา เผาวัคซีน พาสพอร์ต ตัวเอง (แปลว่าเขาฉีดแล้ว เขาไม่ใช่ แอนตี้ วัคซีน)
คำถามคือ:
พวกเขาเป็นกลุ่มที่ฉีดแล้ว เขาออกมาทำไม … ทำไมต้อง เผาวัคซีน พาสพอร์ต (Green Pass) ของตัวเอง แล้วตะโกนว่า “โน กรีนพาสๆๆ” ?
เพราะคนในยุโรปตื่นรู้แล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่
- ผมไม่ใช่ แอนตี้ วัคซีน ผมฉีดวัคซีนมาตลอดชีวิต (ยกเว้นวัคซีนโควิด)
- ผมไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม
- ผมออกมาเพราะผมอยากมีชีวิตที่ดี เป็นอิสระ ร่วมกับท่านทั้งหลาย ในสังคมที่มีท่านทั้งหลาย แบบมีความสุข
- ผมมาด้วยความหวังดี … เพื่อมาปลุกท่าน (อย่างที่มีท่านอื่นเคยมาปลุกผม) ว่าโควิดคือการหลอกลวง ไวรัสที่น่ากลัวไม่ได้ระบาด และจะไม่มีวันระบาด เพราะอีลีตก็กลัวตายเหมือนกัน
- เป้าหมายคือ ลดประชากรโลก และ ควบคุมคนที่เหลือด้วยเทคโนโลยีด้วยระบบ Social Credit System ที่สุดท้ายจะเป็น ไมโครชิพ ฝังในมือของเรา
- ถ้าโควิดคือการหลอกลวง แล้วไม่มีไวรัสที่น่ากลัวระบาดจริง ผู้คนเป็นล้านตายได้อย่างไร? เชิญรับชมคลิปนี้ครับ https://rookon.com/?p=7015
- บทความที่ 1: การล้างสมองมวลชน | ใครครองสื่อ?
- บทความที่ 2: Social Credit System (Vaccine Passport) | ระบบทาส ควบคุมประชากรโลก ด้วยเทคโนโลยีได้อย่างไร?
- บทความที่ 3: การจัดระเบียบสังคมใหม่ New World Order คืออะไร?
- บทความที่ 4: ทางออกคืออะไร?
[…] บทความที่ 1: การล้างสมองมวลชน | ใครครองสื่อ? […]