ณ หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง (ซึ่งไม่มีอยู่จริง 555) ในเวลานั้น สมาชิกหมู่บ้านได้ข่าวว่ามีสุนัขบ้าสายพันธุ์ “โควิด” ออกอาละวาด ทำให้คนในหมู่บ้านหวาดกลัวกันว่าเจ้าสุนัขร้ายสายพันธุ์ใหม่จะเข้ามาทำร้ายคนในชุมชน จึงไปปรึกษายามหมู่บ้านหรือ “นายภูมิคุ้มกัน” ว่าจะป้องกันเจ้าสุนัขอย่างไรดี
ปัญหาอยู่ที่ว่า เจ้ายามภูมิคุ้มกันก็ไม่รู้จักรูปร่างหน้าตาเจ้าสุนัขบ้าสายพันธุ์ใหม่นี้ กรรมการหมู่บ้านได้ข่าวว่ามีบริษัทให้คำปรึกษาวิธีป้องกันสุนัขร้ายอยู่หลายเจ้า จึงคิดจะไปว่าจ้าง
ทุกบริษัทที่ปรึกษา เสนอทางออกตรงกันคือ สอนยามให้รู้จักหน้าตาเจ้าสุนัขโควิด เพราะถ้ายามจำหน้าได้ก็จะได้ไล่สุนัขได้ถูกตัว ไม่เผลอไปไล่สุน้ขที่มีเจ้าของในหมู่บ้าน หรือสุนัขอื่นๆ นอกหมู่บ้านที่ไม่ได้อันตราย
บริษัทแรกที่มาเสนอ ชื่อว่า “ชิโน” บริษัทนี้บอกว่าไม่ยาก เราจะใช้วิธีดั้งเดิมคือ สอนให้ยามรู้จักด้วยการ เอาตัวสุนัขโควิดตาย หรือป่วยหนักมาให้ยามดู จะได้จำได้ว่า หน้าตามันเป็นแบบนี้ พอเวลาเจอสุนัขโควิดจริง จะได้ไล่ถูกตัว
บริษัทเจ้าที่สอง ชื่อว่า “แอสตร้า” บอกว่า วิธีของชิโนมันล้าสมัย เพราะสัตว์ตายหน้าตาก็เปลี่ยนไปจากตอนเป็น เราได้เพาะพันธุ์สุนัขพันธุ์ผสมไว้แล้ว โดยเอาสุนัขโควิดเป็นพ่อพันธุ์ผสมกับพันธุ์อื่นเป็นพันธุ์ทาง ที่หน้าตาเหมือนมาก แต่ไม่ดุร้าย เอามาให้ยามภูมิคุ้มกันได้คุ้นเคย เท่านี้ยามก็ต้องจำได้แน่นอน เพราะเป็นสัตว์เป็นๆ ที่หน้าเหมือน
สองเจ้าสุดท้าย บริษัทที่ชื่อว่า “ไฟเซอร์” และ “โมเดิ้น” บอกว่า เราจะเอาสุนัขนอกบ้านเข้ามาหลอกยามทำไม เรามีวิธีใหม่ล่าสุดไม่เคยใช้กับใครมาก่อน นั่นก็คือ เอาสุนัขในบ้านนั่นแหล่ะ มาตบแต่งหน้าตาให้เหมือน ฝึกสอนให้มีท่าทางแบบสุนัขโควิดเปี๊ยบ เพียงเท่านี้ยามก็จำได้แล้ว
คนในหมู่บ้านพากันถกเถียงว่าจะใช้วิธีสอนหรือหลอกล่อยามภูมิคุ้มกันยังไงที่ดีที่สุด
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่เทคนิคหลอกล่อแบบไหนดูดี แต่ยังพันไปถึงการเมืองในหมู่บ้าน มีข่าวลือว่า ผู้จัดการหมู่บ้านอาจมีเอี่ยวกับบริษัทชิโน บ้างก็ว่าบริษัทแอสตร้าให้ราคาต่ำดูแลใกล้ชิด บางคนเหม็นหน้าผู้จัดการก็เลยพาไปเชียร์บริษัทไฟเซอร์ที่ดูทันสมัยที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเชียร์จะชังบริษัทไหน เกือบทุกคนพากันลืมไปว่า เราถูกกล่อมให้เลือกวิธีเดียวคือ การสอนและหลอกล่อยามให้รู้จักหน้าตาสุนัขบ้าโควิด ไม่มีใครฉุกคิดว่าอาจมีวิธีอื่นที่ป้องกันได้ดีกว่า ไม่เสียงตังค์แพง
มีสมาชิกบางคนไม่เห็นด้วยกับการสอนหรือหลอกล่อยามไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เพราะยามที่ดี น่าจะป้องกันขับไล่สุนัขแปลกหน้าได้ทุกตัว รวมทั้งสอดส่องโจรขโมย ป้องกันภัยพิบัติไฟไหม้ น้ำท่วม งูเข้าบ้าน ฯลฯ ได้
แต่จะให้ยามภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ได้ดีเช่นนั้น สมาชิกหมู่บ้านก็ได้ต้องช่วยกันสอดส่อง และดูแลทุกข์สุขยามให้ดี อย่ากดขี่ค่าแรง อย่าปล่อยให้ตากฝนตากแดดจนสุขภาพแย่ คอยช่วยเหลืออื่นๆ เฉกเช่นสมาชิกในหมู่บ้าน เราก็จะได้หมู่บ้านเป็นสุข มียามภูมิคุ้มกันแข็งแรง
ด้วยความกลัวเจ้าสุนัขโควิด คนส่วนใหญ่ที่ถูกกล่อมให้เหลือทางเลือกเดียวคือจ้างบริษัท หากสมาชิกคนไหนเสนอทางเลือกอื่นที่จะไม่จ้าง ก็จะพลอยโดนด่าหาว่าไม่รับผิดชอบต่อหมู่บ้าน
และแล้ว หมู่บ้านก็ทดลองจ้างมันทุกบริษัทนั่นแหล่ะ ด้วยกระบวนท่าสารพัด แต่ผลก็คือ ไม่เป็นอย่างราคาคุยเลย บริษัททั้งหลายพากันทำให้ยามภูมิคุ้มกันหัวปั่น เมื่อโดนสุนัขบ้าโควิดจู่โจม ยามกลับจำหน้าสุนัขร้ายได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะสุนัขมันดันกลายพันธุ์ หน้าตาไม่เหมือนที่บริษัทสอนไว้ สุนัขบ้าโควิดหลายตัวได้เข้ามาทำร้ายร่างกายสมาชิกหมู่บ้านไปหลายราย
เมื่อไปต่อว่าบริษัทที่ปรึกษาทั้งหลาย ทุกบริษัทให้ข้อแก้ตัวตรงกันหมดว่า เราทำได้แค่ลดความรุนแรงจากการโจมตีของสุนัขบ้าโควิดไม่ให้ตาย ไม่ให้บาดเจ็บหนัก แต่ป้องกันไม่ได้!
อ้าว! แล้วที่โฆษณามาก่อนหน้านี้ทั้งหมดแหล่ะ
ผลไม่ได้มีแค่นั้น การที่ฝึกสอนให้ยามภูมิคุ้มกันมัวแต่ใจจดจ่ออยู่กับสุนัขบ้าโควิด เลยละเลยการป้องกันภัยอื่นๆ ผลปรากฏมีโจรขโมยเข้ามางัดแงะ มีเหตุด่วนเหตุร้ายในหมู่บ้านก็ไม่ดูแล ทำให้ลูกบ้านทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งแก้ไขยากยิ่งกว่าจัดการเจ้าสุนัขร้ายเสียอีก
มิหนำซ้ำ หมู่บ้านไหนที่ใช้บริการของบริษัทไหนก็ตาม ก็จะได้การยอมรับและส่งเสริมจากเทศบาล หมู่บ้านไหนไม่ยอมจ้างบริษัท ก็จะโดนเทศบาลกดดัน ไม่ให้มีส่วนร่วมประชุมเทศบาล
ทางออกหมู่บ้านจะไปทางไหนไม่รู้ แต่สมาชิกหมู่บ้านหลายรายไม่เพียงจะไม่สนบริษัทเหล่านี้แล้ว ยังหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลยามภูมิคุ้มกันเอง และบางส่วนอาจรวมตัวกันฟ้องร้องบริษัทที่ปรึกษาชวนเชื่อทั้งหลาย ที่ไม่เพียงทำตามคำโฆษณาไม่ได้ ยังเป็นเหตุให้หมู่บ้านต้องแตกแยกด้วย
เรื่องวัคซีนกับยามหมู่บ้านนี้ เราจะสรุปเป็นบทเรียนสอนใจอย่างไรดีครับ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4027119884059462&id=100002844704983