ความจริงของ โควิด-19 (ฉบับเต็ม)

3
18912

ดาว์นโหลดหน้านี้ เก็บไว้ก่อน (ในกรณีถูกลบ) คลิปทั้งหมด คุณสามารถหาชมได้ที่ลิงก์นี้ เราขอแนะนำให้บันทึกชื่อเว็บไซต์เหล่านี้ไว้เลย ก่อนที่จะเริ่มอ่าน

เรากำลังจะพูดถึงสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากและคุณอาจคิดว่านี่เป็นข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ผิด เพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลในหน้านี้มีแหล่งที่มาจริงๆ และเราไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นเอง เราได้รวมหลักฐานไว้ในแต่ละขั้นตอน กับสิ่งที่เราอ้างหรือพูดถึง

ดังนั้น โปรดอ่านด้วยการเปิดใจและความคิดกว้างๆ และดูหลักฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ … คุณต้องคิดและถามตัวเองว่า ‘ทำไม’ หลักฐานที่แสดงจึงถูกเซ็นเซอร์หรือไม่เคยถูกพูดถึงอย่างเปิดเผยในสื่อหรือโดยรัฐบาล

ทุกคนมีสิทธิ์ในการรับข้อมูลและตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอะไรดีที่สุดสำหรับพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อมูลมาจาก แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และ อาจารย์ ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง

เราได้ทำการ รีเสิร์ชในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา เกี่ยวกับการอ้างว่า มีการหลอกลวงเกิดขึ้นกับ Covid 19 และเราได้พบบทการสัมภาษณ์ ที่ถูกเซ็นเซอร์ หลายร้อยคลิปของนักวิทยาศาสตร์และอาจารย์ชั้นนำของโลกเช่น อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford และอื่นๆ อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์และรองประธานของบริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) นักวิทยาศาสตร์ ที่เคยเข้าชิงและชนะรางวัลโนเบล และบุคลากรผู้ทรงเกียรติอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้รู้ทั้งนั้น รวมถึง Elon Musk เจ้าของเทสลา ด้วยเช่นกัน (คุณสามารถดูรายชื่อบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดได้ที่นี่)

สุดท้ายเราออกมาเขียนไม่ได้มาเพื่อให้ใครเชื่อเรา เราเพียงแค่แชร์ข้อมูลเพิ่มเติมและอยากเชิญชวนให้ผู้คนช่วยคิดว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น

ผู้คนมากมายกำลังตื่นขึ้น

ผู้คนมากมายกำลังตื่นขึ้น และ รู้เรื่องการหลอกลวงครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศในยุโรปและที่อื่นๆ เช่น แคนาดา บราซิล สหรัฐอเมริกา ผู้คนก็รู้เรื่องนี้แล้ว และอีกหลายล้านคนกำลังประท้วงต่อต้านการหลอกลวงนี้ พวกเขาปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากอนามัย พวกเขาปฏิเสธที่จะรับวัคซีน และ พวกเขาปฏิเสธการล็อกดาว์น (โดยการกลับไปเปิดกิจการตัวเอง)

คุณคงทราบดีแล้วว่า ช่วงนี้หลายๆ ประเทศเริ่มเปิดกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่คุณทราบไหมว่า ที่เขากลับมาเปิดไม่ใช่เพราะพวกเขาฉีดวัคซีน หรือ สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อตามที่ข่าวโกหก สาเหตุที่แท้จริงคือพวกเขาไม่สามารคุมประชาชนได้แล้วจึงต้องเปิด

สิ่งที่น่าคิดเมื่อเห็นภาพเหล่านี้คือ ใครๆ ก็กลัวตาย ถ้าคนเหล่านี้ ออกมาแบบนี้ แสดงว่าพวกเราจะต้องรู้อะไรที่เราไม่รู้ แล้วที่สำคัญ ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องนี้ผ่านสื่อข่าว? การประท้วงไม่ได้เกิดขึ้นในจำนวนประเทศนี้น้อยเลยแต่กลับกลายเป็นจำนวนที่เยอะและประท้วงรัฐบาลในสิ่งเดียวกัน

ประชากรของเมือง/ประเทศต่างๆ ที่ออกมาได้แก่

———->คลิกเปิด-ปิดการแสดงรายชื่อประเทศทั้งหมด

  1. ลอนดอน เบอร์มิงแฮม
  2. เยอร์มัน
    • เบอร์ลิน
    • มิวนิก
    • สตุ๊ตการ์ท
  3. เกาหลี (ใช่แล้ว ในเอเชียของเราก็เริ่มด้วย)
  4. ฮอลแลนด์
  5. ฝรั่งเศส
  6. แคนาดา
    • โตรอนโต
    • แวนคูเวอร์
    • โมนิโตบา
    • อัลเบอร์ตา
  7. เดนมาร์ก
  8. เมลเบิร์น
  9. สัหรัฐ อเมริกา
    • นิวเจอร์ซีย์
    • นิวยอร์ก
    • คาร์สันซิตี้ เนวาดา
    • นิวแฮมป์เชียร์
    • ชิคาโก
    • มิชิแกน
    • Maine
    • Sacremento แคลิฟอร์เนีย
    • ฮันติงตันบีช แคลิฟอร์เนีย
    • ซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย
    • เวนทูรา แคลิฟอร์เนีย
    • สปริงฟิลด์ โอเรกอน
    • นอร์ทแคโรไลนา
    • (อินดีแอนา & ซีแอตเทิล) รัฐวอชิงตัน
  10. ไอร์แลนด์
    • Dublin
    • Cork
    • Galway
  11. กรีซ
  12. ยูเครน
  13. นิวซีแลนด์
  14. มาดริด
  15. โปแลนด์
  16. บราซิล
  17. ไฮเดอราบาด
  18. เบรุต เลบานอน
  19. ลูบลิยานา & มาริบอร์ สโลวีเนีย
  20. ฮ่องกง
  21. เบลกราโด เซอร์เบีย
  22. รัสเซีย
  23. ไนจีเรีย
  24. อิสราเอล

แม้แต่ประเทศที่เงียบสงบอย่าง สโลเวเนีย เดนมาร์ก โปแลนด์ นิวซีแลนด์ และอื่นๆ ยังออกมา

ที่ผ่านมาสื่อบอกว่าอะไร? ประเทศเหล่านี้เปิดได้แล้วเพราะ รับวัคซีนแล้ว และ/หรือ สามารถควบคุมจำนวนเคสได้แล้ว…?​ ไม่จริงครับ เรารบกวนคุณเปิดลิงก์นี้ซักครู่แล้วดูคลิปการประท้วงของทุกประเทศ https://stopthaicontrol.com/protest/ และรบกวนตอบคำถามนี้

หากผู้คนประท้วงกันเช่นนี้ จำนวนเคส ลดลงได้อย่างไร?​

ผู้คนเหล่านี้ ไม่ใส่แมส ไม่โซเชียลดิสแตน ไม่ฉีดวัคซีน และ ที่สำคัญ… ไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ไม่ติดเชื่อ ไม่ตาย แต่กลับกลายเป็นมีการเปิดประเทศ มันเป็นไปได้อย่างไร? อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ ผู้คนบนโลกนี้ฉีดวัคซีนน้อยมาก แม้ว่าข่าวจะแสดงจำนวนตัวเลขอะไรก็ตาม พวกเขากำลังแสดงจำนวนการวัคซีนที่เยอะให้เห็นเพื่อที่จะให้ผู้คนเห็นว่า ใครๆก็ไปฉีดกัน เท่าที่เราทราบ จำนวนประชากรโลกที่ฉีดวัคซีนมีไม่เกิน 4%

เราขอถามคุณอีกคำถาม… ภาพที่คุณเห็นในคลิป (ตามลิงก์ด้านบน) ​คุณเคยเห็นเรื่องนี้ในข่าวไหม?​ แล้วแบบนี้ถือเป็นการเซ็นเซอร์ไหม? ส่วนใหญ่ข่าวเหล่านี้จะมีลงให้เห็น แต่ทำเป็นข่าวเล็กๆ ลงเว็บไซต์ทิ้งไว้หรือกล่าวสั้นๆ เพื่อไม่ถูกกล่าวหาว่าเซ็นเซอร์

50 กว่าจังหวัดทั่วโลก ที่เขาประท้วงกัน เขาประท้วง เรื่องเดียวเท่านั้น การหยุดการหลอกลวงประชาชน ซึ่งคือสิ่งที่เราจะมาเปิดเผยให้คนไทยทราบ พวกเรากำลังถูกหลอก ในหลายๆ เรื่อง และพยานก็คือผู้คนจำนวน ล้านๆ คนทั่วโลกที่กำลังตื่นขึ้น กำลังต่อต้านการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์… โควิด 19

ล่าสุดมีการประท้วงที่กรุงลอนดอนและอีกหลายเมืองทั่วประเทศ ในวันที่ 29 พ.ค. 2021 ที่ผ่านมา คุณทราบไหมสื่อพาดหัวข่าวว่าอย่างไรบ้าง ?

ให้สังเกตดูว่า ทั้งหมดจะเขียนคำว่า “Hundred” พวกเขาเขียนว่า ผู้คนนับร้อยออกมาประท้วง แล้วเมื่อเข้าไปในเนื้อหาข่าว ก็จะสั้นมาก และส่วนใหญ่กล่าวหาว่าผู้คนบางคน (หลักร้อย) ก่อความไม่สงบ คุณอยากชมไหมว่าวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมามีจำนวนกี่คน? และพวกเขาประท้วงอย่างสันติมีทั้งสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ และเรายังเห็นน้องหมามาเดินประท้วงด้วย

การที่ไม่ให้ข่าวว่าผู้คนมาประท้วงเยอะ และ ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก โดยแสดงจำนวนคนน้อยคือการเจตนาไม่ให้ผู้คนรับรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ผู้คนจึงไม่ตื่นและถูกหลอกต่อไปเรื่อยๆ สื่อยังมีการเซ็นเซอร์ นักวิทยาศาสต์ หรือ แม้กระทั้งจำนวนผู้ตายจากวัคซีน เพราะถ้าไม่เซ็นเซอร์แล้วคุณจะไปฉีดไหมครับ?​

ในคลิปสั้นๆ ต่อไปนี้เราอยากให้คุณสังเกตการกระทำของช่างกล้อง เมื่อเหตุการเกิดขึ้น พวกเขาปิดกล้องทันที แล้วพวกเรายังคงจะไว้ไจสื่อได้อยู่หรือไม่?​

หน้าแรกนี้จะเป็นบทความเกี่ยวกับวัคซีน เนื่องจากเราพบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งเราคิดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ เราจะแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูล และคลิปต่างๆ ของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกเซ็นเซอร์และจนถึงวันนี้ … โซเชียลมีเดีย รวมถึงสื่อมวลชนและรัฐบาลด้วย ยังคงเซ็นเซอร์ข้อมูลของท่านเหล่านี้ ที่ออกมาเตือนว่า วัคซีนนั้นอันตราย

วัคซีนโควิด-19 ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และ นี้ไม่ใช่ โรคระบาดทางการแพทย์​

เพราะพฤติกรรมของสื่อ ชาวลอนดอนหมดความอดทนจนกระทั้งปิดเมืองรวมตัวกันเดินไปตระโกนหน้าสำนักงานใหญ่ของ BBC,” Shame on you.. Shame on You” แปลว่า “หน้าไม่อาย… หน้าไม่อาย”


คำเตือน: เว็บไซต์ Stop Thai Control ไม่ได้เป็นผู้ทำข้อมูลใดๆ ขึ้นมาเอง เรารวบรวม คัดลอก และแปล (เป็นภาษาไทยอย่างสุดความสามารถ) ข้อมูลหลักฐาน เอกสารทางวิทยาศาสตร์จากองค์กรต่างๆ เช่น CDC, WHO, FDA, วารสารและจากเว็บไซต์ส่วนตัวของแพทย์​ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้เรายังได้รับข้อมูลจากเว็บไซต์จากนักข่าวนักวิจัยและอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณไม่ควรใช้คำพูดใดๆ ของเราในการตัดสินใจด้านสุขภาพของคุณ เราไม่ใช่หมอ แต่เป็นพลเมืองที่พยายามช่วยให้คุณเห็นความจริง อย่างที่เราเห็น ลองฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงระดับโลกเหล่านี้


1. วัคซีน

จากข้อมูลของ ดร. สุจริต ภักดี นักวิทยาศาสตร์ลูกครึ่งไทย – เยอรมัน และศาสตราจารย์ระดับแนวหน้าของยุโรป ระบุว่าวัคซีนนี้เป็นอันตราย 1-2% ของผู้ที่รับวัคซีนอาจเสียชีวิตหรือมีผลข้างเคียงที่รุนแรง สำหรับผู้ที่รับวัคซีนแล้ว แต่ไม่มีอาการใดๆ ก็มีโอกาสเกิดโรค Autoimmune Disease (ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำร้ายตัวเอง) ดูบทสัมภาษณ์ของ ดร. สุจริต (สำหรับผู้ที่รับวัคซีนแล้ว ไม่ต้องตกใจครับ 2 เข็มแรก ไม่อันตรายเพราะไม่ครบตามแผนการของพวกเขาที่จะมีเข็มที่ 3-4-5 ออกมา คำพูดนี้มาจาก อาจารย์ สุจริต ภักดี เราแนะนำให้คุณดูคลิปของท่าน)

มีคนส่งคลิปนี้มาให้เรา เกี่ยวกับ Astrazeneca

ในความเป็นจริง ประเทศเดนมาร์ก มีการประท้วงต่อต้านวัคซีนครั้งใหญ่เป็นเวลา 9 วัน ซึ่งลามไปทั่วยุโรป เมื่อรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเขาต้องยอมประชาชน และข่าวก็เริ่มออกมาให้เห็นว่า วัคซีน มีความไม่ปลอดภัย รัฐบาลออกมาบอกว่าวัคซีนบางชนิดไม่ปลอดภัยหลังจากที่มอบให้กับผู้คนนับล้าน พวกเขาเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้หลังจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากหรือได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรง

เราเชื่อว่าการฉลอการฉีดเป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ผู้คนสงบลงและไม่ให้ลามไปมากกว่านั้น ผ่านไปไม่นาน รัฐบาลไทยประกาศ Astrazeneca ‘ผ่าน’ และทุกวันนี้ คนไทยกำลังฉีด Astrazeneca ซึ่งเป็นวัคซีนที่ไม่ปลอดภัย หลักฐาน

การประท้วงในเดนมาร์ค

คำถามของเราคือ “เหตุใดการสัมภาษณ์ของ ดร. สุจริต ภักดี และ อาจารย์ท่านอื่นอีกหลายท่าน จึงถูกเซ็นเซอร์ หรือ ถูกเพิกเฉย ท่านออกมาเตือนถึงอาการและอันตรายของวัคซีนในลักษณะเดียวกันย้อนหลังไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เหตุใดรัฐบาลจึงต้องให้วัคซีนแก่ประชาชนหลายล้านคน ก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อชีวิตและรอให้มีการประท้วงจำนวนมากก่อนที่จะระงับการฉีดวัคซีน? “

คุณสามารถดูบทสัมภาษณ์ของ ดร. สุจริต ได้ที่นี่ ท่านอธิบายอย่างชัดเจนว่าวัคซีนทำให้เลือดแข็งตัวในหลอดเลือดของเราได้อย่างไรโดยเฉพาะในสมอง ซึ่งเป็นอาการเดียวกันเลยที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนที่ได้รับวัคซีน ฟัง ดร. สุจริต อธิบาย

โควิดอันตรายแค่ไหน?​

โควิด19 ไม่ได้อันตรายอย่างที่เรากลัวกัน โควิดมีอัตราการเสียชีวิตที่ใกล้เคียงหรืออยู่ราวๆ เดียวกันกับ ไข้วัดใหญ่ อันนี้คือความจริง และเราจะแสดงหลักฐานให้คุณชม สาเหตุที่ผู้คนกลัวโควิดเป็นเพราะสื่อ ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ทำให้คุณกลัวมากที่สุดจนคุณยอมไปฉีดวัคซีนที่ไม่มีการศึกษาความปลอดภัยทั้งสิ้น

คุณทราบไหม ในแต่ละปี มีผู้คนเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุปีละ 1,350,000 คน = 3,698 คนต่อวัน ถ้าหากสื่อเริ่มให้ดูข่าวการตายของคนเหล่านี้ บวกกับสภาพรถ สภาพผู้ตาย ทุกวันๆ ครบทุกข้อมูล รถตกสะพาน รถสวนกันชนเต็มแรง เด็กข้ามถนนโดนชนกระเด่น ทุกอย่าง แล้วออกทุกสื่อ ทุกโซเชียล ทุกช่อง วิทยุ ข่าว หนังสือพิมพ์ ​ป้ายโฆษณาบนท้องถนน วันละ 24 ชม ทุกวัน เป็นเวลา 1 ปี คุณเชื่อไหม ว่าผู้คนทั้งโลกจะกลัวการออกจากบ้านแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ถนน น้อยคนที่จะกล้าขับรถ นั้นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโควิด เพราะข้อมูลทางการ การเสียชีวิตจากโควิดน้อยมาก เที่ยบเท่ากับไข้หวัดใหญ่

สถิติอัตราการเสียชีวิต จากเว็บไซต์ WHO

มาดูสถิติอย่างเป็นทางการจาก WHO สถิตินี้ได้รับการอธิบายโดย ดร. สุจริต ในวิดีโอที่เราโพสต์ไว้ที่ด้านบน การเสียชีวิตของผู้คนตามอายุมีดังต่อไปนี้

อายุ 0-20: อัตราการเสียชีวิตจากโควิด 0.002%
อายุ 21-49: อัตราการเสียชีวิต 0.02%
อายุ 70+: อัตราการเสียชีวิต 0.5%
อายุ <70 ปี อัตราการเสียชีวิตเฉลียอยู่ที่ 0.05%
หากดูอัตราการเสียชีวิตถือว่าต่ำ หรือ อยู่ในเกนท์ปกติเมื่อเทียบกับโรคใกล้เคียงอื่นๆ แล้วทำไมเราถึงตื่นตระหนกกันขนาดนี้? แล้วทำไมข่าวไม่เคยบอกข้อมูลเรื่องนี้กับเรา ในข่าวมีแต่ภาพน่ากลัว สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน อายุของเราอยู่ระหว่าง 21-49 โอกาสที่เราจะเสียชีวิตจากโรคโควิดคือ 0.02% เท่ากับอัตราการรอด = 99.98%

หลักฐานสถิติจากเว็บไซต์ WHO https://www.who.int/bulletin/online_first/BLT.20.265892.pdf. หลักฐานบางส่วนอยู่ในคลิป ดร. สุจริต

สถิติอัตราการเสียชีวิต จากเว็บไซต์ CDC

https://manifest.prod.boltdns.net/manifest/v1/hls/v4/clear/6223967412001/a97a66c2-fdb5-4b50-bbeb-2d218930d160/6s/master.m3u8?fastly_token=NjBjMjQ4MjNfMjVjOTFkYjI3NGU3NzM4ZWFlNTRjMGFkMjAzODcxYWFhMDc3MGRiYWIwNGE3YTliM2MzY2ZmMDJiMGE5ZTRmOQ%3D%3D

คลิปอื่นๆ ของ อ. สุจริต

เรายังไม่ได้เวลาทำ Sub-Title ต้องขออภัยครับแต่ด้วยความที่คลิปนี้สั้น และ สำคัญ เราพิมพ์ตามคำอธิบายในคลิป

สิ่งที่เราเห็นคือการทดลอง (วัคซีน)​ กับคนหลายพันคนในโลกที่ไม่เคยผ่านการทดลองใดๆ เกี่ยวกับอันตรายของมัน หากคุณใส่ยีนแปลกปลอมในร่างกายของคุณและนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการทดลองตามยีน คุณใส่ยีนของไวรัสไว้ในร่างกายของคุณยีนนั้นจะถูกดูดเข้าโดยร่างกายของคุณ และเซลล์ของคุณจะกลายเป็นโรงงานในการผลิตเชื้อไวรัสเหล่านี้ นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในร่างกายของคุณ เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไหน แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นในต่อมน้ำเหลืองของคุณในเซลล์ในต่อมน้ำเหลืองของคุณ

อะไรคือกฎทางตรรกะพื้นฐานในวิทยาภูมิคุ้มกัน ถ้าเซลล์สร้างสิ่งแปลกปลอม .. โปรตีนจากไวรัส..? ในระหว่างการผลิตโปรตีนของไวรัสจะมีของเสียที่ไม่ได้ใช้และของเสียนี้จะถูกวางไว้หน้าประตู ประตู (ผนังเซลล์) และระบบภูมิคุ้มกันของคุณ  ลิมโฟไซต์นักฆ่า ของคุณมองเห็นของเสียนี้ จากนั้นก็เข้ามาโจมตีเซลล์นี้และฆ่าเซลล์ของคุณ เพราะมันรู้ว่าเซลล์กำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ มันผลิตโปรตีนไวรัส .. โอเคไหม?

มันจะเป็นเช่นนี้หากคุณมีลิมโฟไซต์ที่รู้จักของเสียของไวรัสนี้อยู่แล้ว ผมเชื่อว่าเมื่อผู้คนเริ่มคิดค้นวัคซีนที่ใช้ยีนพวกเขาไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่ คุณซึ่งเป็นผู้รับวัคซีน จะมีลิมโฟไซต์นักฆ่าที่รับรู้สิ่งนี้อยู่แล้วเพราะพวกเขาคิดว่าไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสใหม่ คุณเข้าใจไหม 

และเมื่อวัคซีนเริ่มเข้าสู่การทดลองกับคนหลายพันคน นักภูมิคุ้มกันวิทยาได้ค้นพบว่ามีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นตัวฆ่าเหล่านี้อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราคิดทันที .. โอ้พระเจ้า .. ถ้าเซลล์เม็ดเลือดขาวนักฆ่าเหล่านั้นมีอยู่ในร่างกายของคุณอยู่แล้ว มันจะปลุกนักฆ่าเหล่านี้อีกครั้งเมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งและ … (อาจารย์ส่ายศีรษะ) … ผมสอนวิทยาภูมิคุ้มกันมา 30 ปี มันไม่มีทางที่ลิมโฟไซต์นักฆ่าเหล่านี้จะไม่โจมตีเซลล์ของคุณ

ไม่มีทางอื่น พวกเขาถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าเพื่อทำสิ่งนี้และพวกเขาจะทำเช่นนี้ต่อไป ผมคิดว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองสามารถเกิดขึ้นได้จากวัคซีนที่ใช้ยีนเหล่านี้ คุณจะเห็นว่าวัคซีนที่ใช้ยีนเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง แขนบวม ปวด บวมแดง มีไข้ ปวดหัว ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ .. ผลข้างเคียงเยอะมากจน astrazeneca ต้องเปลี่ยนมาตรการของการทดลอง โดยให้พาราเซตามอลไปพร้อมๆ กันเพื่อทนวัคซีนได้ .. สิ่งนี้ไม่ควรได้รับอนุญาต คุณห้ามอนุญาตให้เปลี่ยนมาตรการ .. แต่เขาได้ทำและได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่แล้ว ซึ่งผมรู้สึกว่ามันน่าตกใจมาก “

คุณคิดว่าคนไทยทุกคนควรดูวิดีโอนี้ก่อนตัดสินใจว่าจะรับวัคซีนหรือไม่? นั่นคือสิทธิเสรีภาพของเรา ซึ่งเป็นนิยามของประชาธิปไตย แต่น่าเสียดายเช่นเดียวกับวิดีโอนี้ วีดีโออื่นๆ อีกหลายร้อยคลิปที่ถูกเซ็นเซอร์

แพทย์ทั่วโลกเตือนภัยวัคซีน

โควิด 19 ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ามีอยู่จริง

วันแรกที่เราทราบข้อมูลนี้ เราตกใจและสับสนมากว่า คำว่า “โควิด 19 ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ามีอยู่จริง” มันหมายความว่าอะไร แล้วทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่คืออะไร

นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก (ด้านล่าง) พูดว่า Covid 19 ไม่มีอยู่จริง และคุณอาจตั้งคำถามเหมือนที่เราตั้งว่า คนป่วยหรือตายได้อย่างไร ลองทำการเข้าใจก่อนว่า พวกท่านหมายความว่าอย่างไรเมื่อนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้พูดว่า “ไม่มีโควิด 19” อ่านในลิงก์ด้านล่าง Dr. Andrew Kauffman, M.D. – นิติจิตแพทย์และพยานผู้เชี่ยวชาญปฏิเสธ “การแยก” ของโรคซาร์ส – โคฟ -2; เขาวิเคราะห์ทีละขั้นตอนของการอ้างสิทธิ์โดยทั่วไปของการแยกไวรัส ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่ามีไวรัสอยู่จริง อ่านบทความนี้ให้เข้าใจแล้วกลับมาที่หน้านี้ http://stopthaicontrol.com/แยกไวรัส/is-there-a-virus/

https://andrewkaufmanmd.com/wp-content/uploads/2021/02/Statement-of-Virus-Isolation-SOVI-by-Morell-Cowan-and-Kaufman.pdf

นี่คือคำพูดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์โดยตรง ที่เราพบในการสัมภาษณ์ของท่าน

Dr. Andrew Kaufman, M.D. – นิติจิตแพทย์และพยานผู้เชี่ยวชาญปฏิเสธ “การแยก” ของโรคซาร์ส – โคฟ -2; เขาวิเคราะห์ทีละขั้นตอนของการอ้างสิทธิ์โดยทั่วไปของการแยก; ไม่มีการพิสูจน์ว่ามีไวรัสอยู่ อ่านบทความนี้ให้เข้าใจแล้วกลับมาที่หน้านี้

ดร. ไมเคิล ยีดัน ท่านเป็นอดีตรองประธานและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ ท่านพูดว่า “รัฐบาลของคุณโกหกคุณในทางที่อาจนำไปสู่ความตายของคุณ” คุณสามารถดูบทสัมภาษณ์ทั้งหมดของเขาได้ที่นี่

ศ. ดร. สเตฟาโนส โกกลิโอ: นักวิทยาศาสตร์ | ผู้เช้าชิงรางวัลโนเบลประจำปี 2018 | ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโตรอนโต กล่าวว่า “นี่เป็นการระบาดที่คิดค้นขึ้นโดยไม่มีการแยกเชื้อไวรัสและการทดสอบ COVID-19 ที่ไม่ถูกต้อง” ดูบทสัมภาษณ์ของเขาทั้งหมดที่นี่

ศ. ดร. ไมเคิล เลวิตต์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล นักชีวฟิสิกส์และนักชีววิทยาโครงสร้าง | มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด: “ ไม่มีหลักฐานว่าโควิด -19 ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ ” ดูบทสัมภาษณ์ทั้งหมดนี้ได้ที่นี่

ดร. สโตอัน อเล็กซอฟ นายกสมาคมพยาธิวิทยาบัลแกเรีย “ไม่มีใครเสียชีวิตด้วยโรคโควิด 19!” ดูบทสัมภาษณ์ของเขาทั้งหมดที่นี่
และอื่น ๆ อีกมากมาย. ดูที่นี่

Sir David Icke – ผู้แต่งหนังสือ 21 เล่มที่เปิดเผยโลกแห่งความทุจริตรวมถึงเหตุการณ์ 9/11“ผมพูดมาหลายเดือนแล้ว ‘โควิด -19’ มาจากการทดสอบ PCR ที่ไม่ได้ทดสอบหาเชื่อ ‘Covid-19’ การเสียชีวิตจากโควิด มาจากการจัดการมรณบัตรอย่างเป็นระบบเพื่อทดแทนสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิต ตื่นๆ ทุกคน”

การทดสอบ RT-PCR: การทดสอบที่มีการจัดการ สร้างผลบวกเท็จ

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเมื่อผู้คนเข้ารับการทดสอบโควิด ตัวอย่างถูกนำมาจากลำคอและจมูก จะถูกนำไปผ่านเครื่องทดสอบที่เรียกว่า RT- PCR หรือสั้น PCR ในห้องปฏิบัติการ การทดสอบ pcr นี้เป็นการฉ้อโกง ได้รับการแก้ไขเพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมอื่นๆ ที่มีอยู่ในร่างกายของเราโดยธรรมชาติ เมื่อเราเจ็บป่วยที่เรียกว่า Exosome (และอื่นๆ) ดูคำอธิบายโดย Dr. Andrew Kauffman

คุณสามารถอ่านบทความการหลอกลวงด้วยการใช้ PCR ได้ที่บทความ เบื่องหลัง PCR (เครื่องตรวจโควิด)

Dr. Kary Mullis, ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีและผู้คิดค้นการทดสอบ PCR กล่าวว่าการทดสอบ PCR เป็นการทดสอบที่ยอดเยี่ยม แต่มันไม่สามารถทดสอบโรคติดต่อได้และไม่ควรใช้ การทดสอบนี้เพื่อวินิฉัยว่า ใครป่วยหรือไม่ ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์ RT-PCR และท่านพูดว่าอย่าใช้ แต่จนถึงวันนี้การทดสอบโควิดทั้งหมดกำลังได้รับการทดสอบโดยการใช้ PCR ดูบทสัมภาษณ์ที่หายากคลิปนี้ที่นี่ ดร. Kary Mullis เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในเดือนสิงหาคม 2019

วิดีโอถัดไปเป็นคลิปของประธานาธิบดีประเทศ แทนซาเนีย ซึ่งเป็นประเทศในแอฟริกา เขาคือประธานาธิบดี! ไม่ใช่ใครที่ไหน สิ่งที่เขาทำเพื่อพิสูจน์ให้พลเมืองของเขาเห็นว่า PCR ไม่แม่นยำ เขาเอาตัวอย่างจาก มะละกอ ขนุน แกะ และ แพะ ส่งไปที่ห้องปฏิบัติการของ WHO เพื่อทดสอบโควิด 19 ในกลุ่มตัวอย่าง เขาตั้งชื่อมนุษย์ ว่าแจ็ค แอนนา อลิซาเบธ และ อื่นๆ เพื่อไม่ให้ใครไม่รู้ว่าตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างจากผลไม้ไม่ใช่มนุษย์

ผลการตรวจที่ได้กลับมา เป็นบวก อลิซาเบธ (มะละกอ) เป็นโควิด … ลองดูด้วยตัวคุณเอง วิดีโอนี้หาชมได้ยาก

น่าเศร้าหลังจากที่ประธานาธิบดีท่านนี้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับมะละกอที่ตรวจพบเชื้อโควิด เขาเสียชีวิตอย่างลึกลับ

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เราพบว่านักกฎหมายชื่อดังระดับโลกหลายคนฟ้องร้องรัฐบาลและ WHO รวมถึงแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นการหลอกลวง นี่คือสุนทรพจน์ โดยผู้ที่มีชื่อเสียง ดร. Renier Fuellmich ซึ่งมีผู้ชมหลายล้านวิวก่อนที่จะถูกเซ็นเซอร์โดย Youtube

คำถามโลกแตก หาก PCR แสดงผลลัพธ์ที่ผิด ผู้คนจะตายได้อย่างไร ถ้าไม่มีโควิด?

“เป็นการจัดการใบมรณบัตรอย่างเป็นระบบ”

– David Icke

รัฐบาลสหรัฐฯมีกฎใหม่ขึ้นมาที่ระบุว่า ใครก็ตามที่ได้รับการตรวจโควิดเป็นผลบวก และ หากพวกเขาเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่เขากำหนด ก่อนหรือหลัง แพทย์ต้องใส่โควิดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตลงในใบมรณบัตร และต้องจัดการศพทันทีโดยไม่มีการชันสูตรศพ (เพื่อปิดบังสาเหตุที่แท้จริง?)

จริงอยู่ว่ามีผู้คนที่เสียชีวิตจากโคโรน่าไวรัส แต่โคโรน่าไวรัส และ โควิด 19 มีความแตกต่าง โคโรน่าไวรัสมีอยู่จริง แต่โควิด 19 ไม่มีจริง คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หน้านี้

Elon Musk รู้สึกงุนงงกับสิ่งนี้และยกตัวอย่างฉลามในการสัมภาษณ์ของเขา คุณสามารถดูได้ด้านล่าง ถ้าฉันโดนฉลามกินและพวกเขาเอาแขนที่ลอยน้ำที่เหลือของฉันไปทดสอบโควิดเครื่องพีซีอาร์ สามารถทดสอบฉันเป็นโควิดได้ ทีนี้ในใบมรณบัตรของฉันพวกเขาจะระบุว่า ฉันติดโควิดตาย ไม่ใช่ฉลามกิน🦈

เราไม่ได้พูดนะ Elon Musk เป็นคนพูด

ถ้าโควิดมีจริง จำนวนการเสียชีวิต เฉลียประจำปีของโลกจะมีมากกว่านี้ แต่แพทย์หลายคนอ้างว่า การเสียชีวิตโดยเฉลี่ยของประชากรโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ การเสียชีวิตด้วย (ที่อ้างว่า) โควิดเพื่มขึ้น แต่การเสียชีวิตจากโรคอื่นลดลง (ก็คือการจัดการใบมรบัตินั้นเอง)

จู่ๆ มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดน้อยลงและเริ่มเสียชีวิตด้วยโรคโควิดแทน มันเป็นไปได้ยังไง? ก็พวกเขาเพียงแค่ใช้ปากกาเขียน โควิด แทน ไข้หวัด ในใบมรณบัตร และข่าวแพร่ตัวเลขการเสียชีวิตออกไปให้ผู้คน ชมบทสัมภาษณ์ของ Dr. Vernon Coleman ด้านล่าง

ในแต่ละปีมีผู้คนเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดและโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ หลายล้านคนและด้วยการเขียนการตายของโควิดแทนการเสียชีวิตจากไข้หวัด (โดยการผ่านการตรวจด้วยเครื่อง PCR ที่ให้ผลเท็จ) พวกเขากำลังหลอกทุกคนในโลก เพราะตอนนี้ใครก็ตามที่ไปโรงพยาบาลด้วยโรคทางเดินหายใจพวกเขาได้รับการตรวจโควิดและพีซีอาร์จะโกหกว่าเป็นโควิด

ดร. VERNON COLEMAN: เราพิสูจน์ได้ว่า COVID-19 PANDEMIC ไม่เคยมีอยู่จริง

ด้วยการวินิจฉัยที่ผิดพลาดทำให้การรักษาผิดพลาด และผู้คนเสียชีวิต เราพบคลิปแพทย์ห้องฉุกเฉินจากนิวยอร์กซิตี้ ที่อ้างว่าผู้คนกำลังได้รับการรักษาที่ผิด ผู้คนไม่ได้เสียชีวิตจากโรคโควิด แต่มาจากการได้รับการรักษาที่ผิดมากกว่า

ในคลิปด้านบนนี้ คุณหมอท่านนี้ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า สิ่งที่เขากำลังเห็นในผู้ป่วย ไม่ได้เป็นอาการของ Acute Respiratory Distress Syndrome (ARDS) ซึ่งเป็นนิยามของการรักษาโควิดในทุกโรงพยาบาล แต่สิ่งที่เขาเห็น มันไม่ใช่ ADRS และ มันไม่ใช่ โควิด และ ผู้ป่วยกำลังได้การรักษาที่ผิดที่ทำให้พวกเขาเสียชีวิต ในคลิปนี้ คุณหมอท่านนี้แจ้งว่า เขาไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นแต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ ADRS หลังจากที่คลิปนี้ออกมา คลิปถูกแบน และ คุณหมอถูกสั่งพักงาน

เรามีคำถามที่เราอยากรู้มาก นั้นก็คือ “แล้วผู้คนป่วยกันอย่างไรโดยเฉพาะโรคปอดบวม (นิวโมเนีย)”

เราเริ่ม รีเสิร์ช และนี่คือสิ่งที่เราพบ แต่ก่อนที่เราจะอธิบายเพิ่มเติม เราขอแจ้งให้ทราบว่า เรายังไม่พบหลักฐานแบบปังๆ เราแค่พบข้อมูลที่มีความเป็นไปได้เท่านั้น สาเหตุที่ว่าก็คือ “แมส”

เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าข้อมูลเกี่ยวกับแมสต่อไปนี้ถูกต้อง 100% หรือไม่ เรายังไม่พบแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ออกมาอ้างว่าหน้ากากทำให้ปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรีย แต่เรามีข้อมูลที่แน่ชัดว่า แบคทีเรียในแมส เมื่อสูดเข้าไปแล้ว หากลงปอด สามารถทำให้ปอดบวมได้

สิ่งที่เราพบน่าสนใจ คุณรู้ไหมว่าในปี พ. ศ. 2461 (1918) ในช่วงโรคระบาด Spanish Flu มีผู้เสียชีวิต 58 ล้านคน https://www.nih.gov/news-events/news-releases/bacterial-pneumonia-caused-most-deaths-1918-influenza-pandemic

จากทั้งหมด 58 ล้านคน 28 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมจากเชื้อไวรัส และอีก 30 ล้านคนที่เหลือเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรีย BACTERIAL PNEUMONIA มากกว่า 50% ของการเสียชีวิตเกิดเพราะแบคทีเรียไม่ใช่ไวรัส แล้วคนเหล่านี้ไปได้แบคทีเรียมาจากไหน?

เราพบวิดีโอนี้และสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรีย หรือไม่… เราไม่รู้ เราไม่ใช่หมอ ไว้มีหมอออกมายืนยันแล้วจะมาบอกครับ

เราทุกคนอาจกำลังหายใจเอาแบคทีเรียที่ทำให้เกิดปอดบวมจากหน้ากาก ลองคิดดูว่ามีผู้คนกี่ล้านคน สวมหน้ากากตลอดทั้งวัน อัตราการติดเชื้อในปอดก็น่าจะสูงโดยธรรมชาติ ด้วยจำนวน และ ระยะเวลาการส่วมใส่ที่มากขึ้น

อินเดีย… ถ้าไม่มีโควิด แล้ว คนอินเดียนอนตายบนถนน ได้อย่างไร?

ก่อนอื่นเราขอแจ้งก่อนว่า เราไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นในอินเดีย เพราะฉนั้น สิ่งที่เรากำลังเขียน เราไม่มีหลักฐานนำเสนอ และ ไม่ขอให้คุณรับข้อมูลนี้ในฐานะ ข้อมูลพร้อมหลักฐาน ตามที่เราได้เขียนไว้ข้างต้น เราได้รับข้อมูลมาไม่มาก และ ไม่สามารถศึกษาครบทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในทุกที่ ขอมูลเกี่ยวกับอินเดียนี้ให้ถือว่าเป็นเรื่องเล่า (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นข่าวปลอมก็ได้ เพราะมันเป็นไปได้)​เพราะเราไม่ได้รับมาจาก แพทย์ หรือ นักวิทยาศาสต์ ใดๆ

คนอินเดียนอนตายบนถนน ได้อย่างไร? คำถามประมาณนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ คนอินเดียตายได้ไง คนนั้น คนนี้ ตายได้ไง.. ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเองทั้งนั้น เราไม่มีวันรู้สาเหตุการเสียชีวิตของแต่ละคนหรอก สิ่งที่สำคัญที่น่าคิดคือ ในเมื่อ นักวิทยาศาสต์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าโควิดมีอยู่จริง นั้นหมายความว่าผู้คนกำลังตายด้วยสาเหตุอื่น?​ วิธีเดียวที่เราจะรู้คำตอบนี้ได้คือการชันสูตรศพ แต่หน่วยงานทางการทั้งหลายไม่อนุญาตให้ทำการชันสูตรศพอย่างเคร่งคัด เมื่อมีผู้คนที่อ้างว่าเสียชีวิตจาก โควิดจะต้องถูกเผาโดยเร็วที่สุด คำถามคือทำไม รีบอะไร ไวรัสติดต่อทางเดินหายใจแต่ คนตายเขาไม่หายใจแล้ว แล้วทำไมไม่ให้มีการชันสูตรศพ… เพราะเขากลัว หมอ พยาบาลจะรู้สาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง?

อินเดีย… เป็นประเทศที่คนที่รวยที่สุดก็อยู่ที่นั้น คนที่จนที่สุดก็อยู่ที่นั้น คุณรู้ไหม มีคนอินเดียหิวตายวันละกี่คน?

คนอินเดียหิวตาย วันละ 7,000 คน

ที่มา: https://www.developmentnews.in/thousands-indians-die-hunger-every-day/

ทีนี้ คนที่ไม่มีข้าวกินจนถึงแก่ความตาย ในวันสุดท้ายของชีวิตเขา ที่เขาไม่มีข้าวจานสุดท้ายให้กิน.. คุณคิดว่าคนเหล่านี้จะมีบ้านไหม? แล้วเมื่อล้มตาย เขาจะล้มตายที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่สาธารณะ โรงบาล? ถ้าเขาอยู่ในโรงบาลเขาคงได้ข้าวกิน แล้วเมื่อตายแล้วจะมีใครจัดพิธีศพให้เขาไหม ถ้าจะจัดให้ เอาเงินที่ใช้ในการจัดไปซื้อข้าวให้เขากินก่อนตายไม่ดีหรือ เพราะฉนั้นพวกเขาถูกเผาอย่างที่เห็นนั้นแหละ สิ่งที่เราได้รับข้อมูลคือ เรื่องนี้มันมีมานานแล้ว แต่ไม่มีใครแคร์ วันดีคืนดี นักข่าวมาทำข่าวเลยกลายเป็นเรื่อง แล้วเราขอถามหน่อย มีใครไปชันสูตรศพเหล่านั้นไหมว่าเสียชีวิตเพราะอะไร?

ตั้งแต่โดวิดเกิดขึ้น คนอินเดียอีกหลายล้านคนยากจนมากขึ้นเพราะมีผู้คนเยอะมากที่หาเช้ากินค่ำ จะป่วยหยุดงาน 1 วันก็ไม่ได้ เพราะจะไม่มีข้าวกิน พอรัฐบาล ล็อกดาวน์ คนเหล่านี้จะรอดได้ไง?

ภาพที่นักข่าวแสดงให้ แล้วขู่ว่าไวรัสใหม่กำลังมา เป็นเพียงการทำให้ต่างประเทศกล้วแล้วฉีดวัคซีน ซึ่งหนึ่งในประเทศที่กลัวที่สุดคือไทยนี่แหละ

ในคลิปด้านล้างนี้ ชายชาวอินเดียพูดว่า “วันนี้วันที่ 20 เดือนห้า 2021. และใน มุมไบ เป็นอีกวันที่ปกติ เวลาตอนนี้คือ 11 โมงเช้า ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดทำการ ผู้คนกำลังยุ่งกับการจับจ่ายซื้อของ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่คุณได้ยินในข่าว ว่าคนกำลังตายบนถนนในอินเดียเป็นการโกหก อย่าไปเชื่อคนโกหก เราโอเค”

ที่มา: https://archive.ph/2021.04.29-010946/https://www.dw.com/en/coronavirus-indias-lockdown-turning-into-humanitarian-crisis/a-53377588

จบเรื่องอินเดีย

หลักฐานสถิติจากเว็บไซต์ WHO https://www.who.int/bulletin/online_first/BLT.20.265892.pdf. หลักฐานบางส่วนอยู่ในคลิป ดร. สุจริต

Elon musk กล่าวว่า WHO กำลังโกหก จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดนั้นต่ำมาก แต่ WHO กล่าวเท็จ นั้นหมายความว่า 0.05% ที่ WHO ว่านั้น ในความจริงต่ำลงไปอีก

โควิดมีอัตราการตายที่ 0.05% วัคซีน มีอัตราการตาย/ผลข้างเคียง 1%

นักวิทยาศาสตร์บางคนพูด แต่ถูกเซ็นเซอร์ว่า 1% ของผู้ที่รับวัคซีนเสียชีวิตหรือป่วยหนัก ส่วนที่น่ากลัวคือแม้ว่าคุณจะรอดชีวิตในขณะที่รับวัคซีน คุณก็ยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีตัวเอง) ดร. เชอร์รี เทนเพนนี่ กล่าวว่า ผู้คนมากถึง 50 ล้านคนอาจเสียชีวิตจากวัคซีนในสหรัฐอเมริกา แล้วพวกเขาก็จะโทษไวรัสชนิดใหม่ ฟังคลิปนี้โดย ดร. เชอร์รี เทนเพนนี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยวัคซีนกว่า 20 ปี

Elon Musk กล่าวว่าเขาจะไม่รับวัคซีน

ข่าวของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วมีผลไม่ประสงค์ และ เสียชีวิต ในลิงก์นี้ เราไม่ได้นำภาพหรือคำกล่าวหาต่างๆ มาเสนอแต่เป็นข้อมูลทางสถิติของรัฐ เป็นตัวเลขทางการให้คุณเห็นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏในสื่อ

คุณรู้หรือไม่ว่าวัคซีนโควิดเหล่านี้ข้ามการทดสอบความปลอดภัยที่สำคัญ 1 ขั้นตอน ซึ่งเป็นขั้นตอนการเอาไวรัสไปโดนสัตว์ที่ได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อดูว่าวัคซีนทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือไม่ (Autoimmune Disease)

สิ่งที่พวกเขาข้ามไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด โดยปกติหลังจากให้วัคซีนแก่สัตว์แล้วพวกเขาจะเอาไวรัสตัวจริงให้กับพวกมันเพื่อตรวจสอบการตอบสนอง

วัคซีน SARS Cov 1 ซึ่งไม่เคยได้รับอนุญาติให้ออกมา เพราะสัตว์ที่ถูกฉีดวัคซีน และ เมื่อโดนไวรัสจริง เกิดการพัฒนาโรคแพ้ภูมิตัวเองและ 80% เสียชีวิต ในคราวนี้ วัคซีน SARS Cov 2 WHO อนุญาติวัคซีนออกมาโดยไม่ต้องทดสอบขั้นตอนนี้ พวกเขาข้ามขั้นตอนนี้ไป !! พวกเขาเพียงแค่ทดสอบว่าวัคซีนผลิตแอนตี้บอดี้สำเร็จหรือไม่ และพวกเขาให้มันกับมนุษย์และดูว่าพวกเขาตายหรือมีผลข้างเคียงหรือไม่ นั่นเป็นการทดสอบที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น คำกล่าวประสิทธิภาพ ต่างๆ ที่บริษัทวัคซีนให้กับประชาชนมีความหมายที่ประชาชนไม่เข้าใจ ตามที่ เว็บไซต์​ ChildrenHealthDefense.org อธิบาย: ผู้ผลิตวัคซีนอ้างว่าวัคซีน COVID ได้ผล 95% – แต่นั่นหมายความว่าอย่างไร?

“ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวัคซีนนี้จะทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือไม่? เราไม่รู้ ไม่มีใครรู้ แม้แต่ บริษัท วัคซีนก็ไม่มีข้อมูล เพราะเขาไม่ได้ทำการทดสอบ!”

– ดร. สุจริต ภักดี

เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีคนตาย หากผู้คนเริ่มตายเราจะรู้ว่าวัคซีนนี้ก่อให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ โรคอื่นๆ ถ้าคนไม่ตายเรารู้ว่าวัคซีนนี้ปลอดภัยในระยะยาว คุณเห็นไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร? สิ่งนี้เขาเรียกว่า การทดลองวัคซีนบนมนุษย์

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ หากวัคซีนยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขาได้รับอนุญาติมาฉีดผู้คนได้อย่างไร? มันเกิดขึ้นเพราะ มีกฎหมาย “ฉุกเฉิน” ฉบับใหม่ออกมา โดย WHO ที่อนุญาตให้นำวัคซีนเข้าสู่ตลาดโดยไม่ต้องทดสอบกับสัตว์ เนื่องจากโควิดระบาดหนัก นั่นคือวิธีการที่เขาให้วัคซีนออกสู่ผู้คน แล้วพวก อย. ทั้งหลายรับรองความปลอดภัยบนพื้นฐานอะไร ก็บนพื้นฐานของ กฏหมาย ฉบับนี้ ซึ่งเป็นเพียงแค่ น้ำหมึกและเศษกระดาษ ไม่ใช้วิทยาศาสต์

โดยปกติวัคซีนใช้เวลาประมาณ 7-20 ปี
ใครคิดได้ยังไง ว่าเขาพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยใน 1 ปี?

อีกอย่าง … ไม่มีใครสามารถบังคับใครฉีดวัคซีนได้ รัฐบาลก็ไม่มีสิทธ์ ไม่ว่าจะทางตรง หรือ ทางอ้อม (e-passport) เพราะพวกเราทุกคนยังมีกฏหมาย Nuremberg ที่มีระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องห้ามทดสอบทางการแพทย์บนมนุษย์ หากมีการทดสอบ ต้องแจ้งให้ทราบอย่างละเอียด ไม่งั้น มีความผิดร้ายแรง ทั้ง โรงบาล หมอ รวมถึง พยาบาล ผู้ฉีด ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตามว่า วัคซีนนี้เป็นการทดสอบมนุษย์

วัคซีนนี้สร้างขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอของมนุษย์ คุณอาจไม่เชื่อว่าเรื่องเป็นเรื่องจริง เราก็ไม่เชื่อเช่นกัน เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่แล้วเราก็เจอคลิปหลุดนี้ของ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook คลิปนี้จะทำให้คุณตกใจ

ในวัคซีนมีอะไร?

1. Mark Zuckerberg ระหว่างมีการประชุมภายใน มีคนจาก Facebook บันทึกและปล่อยวิดีโอนี้ ในวิดีโอนี้เป็นที่ชัดเจนว่า Mark รู้ว่าวัคซีนกำลังจะปรับเปลี่ยน DNA ของผู้คน และในคลิปต่อมา ในการสัมภาษณ์กับ Dr. Fauci ที่แสดงต่อสาธารณะ Zuckerberg ถาม Dr. Fauci เกี่ยวกับการดัดแปลง DNA และทำเป็นราวกับว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันจริงหรือไม่ (Dr. Fauci ก็ร้ายเหมือนกัน พวกนี้ อยู่ทีมเดียวกัน)

2. ด้วยวัคซีนทดลองนี้ ประชากรโลกอาจลดลง 10-15% นั่นคือ 1 พันล้านคน! (Bill Gates พูดนะ ไม่ใช่เรา) วาระของพวกเรียกว่า วาระ 2021 (The Agenda 2021)

แต่เราก็มานั่งคิดว่า .. มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกคนในโลก จะร่วมกันทำให้มันเกิดขึ้นได้ขนาดนี้ ใครจะสร้างโรคระบาดปลอมโดยไม่มีไวรัสได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ในโลกมีตั้งหลายประเทศ เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกประเทศเหล่านี้จะประสานงานและจัดทำแผนนี้ เพื่อฆ่าประชาชนตัวเอง มันไม่สมเหตุสมผล และ ไร้สาระ เราไม่เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ เพื่อสร้างการแพร่ระบาดปลอมนี้ เราได้พบกับคำอธิบาย เป็นวิดีโอแอนิเมชั่นนี้โดย Sir David Icke ซึ่งวิจัยเป็นเวลากว่า 30 ปี ว่า ‘ใครเป็นผู้ควบคุมโลกของเราจริงๆ’ ดูคลิปนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าโลกของเราถูกควบคุมโดยคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และ คุณจะเข้าใจว่าเขาทำได้ไง

นี่คือสิ่งที่เราเข้าใจหลังจากค้นคว้าหาข้อมูลมา 16 เดือน

พวกเขาสร้างไวรัสปลอม (ที่ยังไม่ถูกแยกออก) -> พวกเขาใช้การทดสอบ PCR ที่ฉ้อโกง -> พวกเขาจัดการกับใบมรณะบัตรและสร้างการตายของโควิดปลอม (พู้คนเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่น) -> พวกเขาควบคุมสื่อเซ็นเซอร์นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทั้งหมดที่พูดความจริง และ ใช้จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากสาเหตุอื่น เพื่อกระจายความกลัว -> จากนั้นพวกเขาก็ปิดล็อกทั้งโลกและห้ามสิทธิขั้นพื้นฐานของเราในการมีชีวิตอยู่และทำให้เรากลัวและหงุดหงิด อึดอัดกับชีวิตแบบนี้ -> ทำให้พวกเราแทบกราบร้องขอวัคซีน และพวกที่ไม่ฉีด ก็บังคับให้ฉีดทางอ้อม (เราอธิบายแผนและวิธีการบังคับฉีดวัคซีนทางอ้อมของพวกเขาด้านล่าง)

พวกเขาจะบังคับให้เราฉีดวัคซีนอย่างไร?

หากคุณรู้แล้วเงียบ และคิดว่าคุณจะไม่รับวัคซีนและทุกอย่างจะโอเค … คุณคิดผิด เขาสร้างทุกสิ่งมาขนาดนี้แล้ว เขาไม่ปล่อยคุณง่ายๆ หรอก

พวกเขาจะบังคับให้คุณและครอบครัวของคุณรับวัคซีนนี้โดยการใช้นโยบายต่างๆ เช่น e-passport ลูกหลานของคุณจะไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หากทุกคนในครอบครัวนักเรียนคนนั้นไม่ฉีด คุณไม่สามารถหางานได้ คุณไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ คุณไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่ได้รับวัคซีน แต่เขาจะออกกฏทีละนิด ทีละหน่อย เพราะ เมื่อมีคนฉีดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้คนที่จะออกมาต่อต้าน ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ กฏหมายก็จะโหดขึ้นเรื่อยๆ คุณที่เหลือน้อยนิดก็ไม่มีอะไรไปสู้ เพราะฉนั้นอย่าเงียบ อย่าเฉย เวลาของคุณกำลังลดลงเรื่อยๆ โดยอัติโนมัติ

นี่คือวิธีที่พวกเขาจะบังคับให้ผู้คนฉีด พวกเขาจะไม่ลากคุณออกจากบ้านแล้วจับฉีด

ผมไปพบเจอคลิปๆ หนึ่ง ซึ่งผมเห็นแล้วน้ำตาไหล ผมกำลังจะให้คุณดู คุณเตรียมกระดาษทิชชู่ได้เลยครับ ในประเทศแคนาดา เขามีฏกหมายที่ว่า เด็กๆ สามารถฉีดวัคซีนโควิดได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาติจากผู้ปกครอง สิ่งที่รัฐบาล แคนาดาทำต่อมาคือ ตั้งป๊อปอัพบูธวัคซีน ในที่ๆ มีเด็กๆ เอาเจ้าหน้าที่มากัน พ่อแม่ออกไม่ให้เข้าไปในสถานที่ แล้วเชิญชวนเด็กๆ ที่อยู่ด้านใน ให้ฉีดวัคซีน ดูคลิป

แล้วอย่างมีหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่า อัตราการเสียชีวิตของคน อายุน้อยกว่า 20 ปี อยู่ที่ 0.002% มันน้อย มาก และข้อมูลนี้ผู้ใหญ่ยังไม่รู้เลย เด็กจะไปรู้อะไร จำเป็นมากไหมที่จะต้องเอาวัคซีนที่ไม่ได้ทดสอบไปฉีดเด็กโดยที่กัน พ่อแม่ออก เพื่อป้องกันโรคที่มีอัตราเสี่ยง 0.002% ? เราเห็นภาพนี้แล้วทำใจไม่ได้

โปรดค้นคว้าหาข้อมูล และเผยแพร่สิ่งนี้ คุณกำลังอยู่บนบันไดเลื่อนสู่วัคซีน การอยู่เฉยๆ จะทำให้คุณขึ้นไปถึงได้โดยอัตโนมัติ คุณมีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้นครับ ต่อสู้หรือรับวัคซีน

เราพบข้อมูลส่วนใหญ่ที่นี่ คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิงค์ด้านล่าง: 

กรุณา รีเสิร์ช อย่าเชื่อแม้แต่คำเดียวที่เราพูด เราไม่ใช่แพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์หรือใครก็ตามที่มีพื้นฐานทางการแพทย์ แต่เราได้ทำการวิจัยอย่างละเอียดในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา และคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องแบ่งปันข้อมูลที่เราพบเจอให้กับคุณ

เราขอกลับไปพูดเรื่อง PCR อีกหน่อย

ตลอดเวลาที่เราทำการวิจัย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์นับไม่ถ้วนพูดว่าค่า CT ที่ใช้ในการทดสอบ PCR ต้องต่ำ หากมีค่าที่สูงการทดสอบจะให้ผลบวกเท็จ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนจะคิดว่าพวกเขาเป็นโควิด (ที่เขาเรียกกันว่า ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ที่จริงแล้ว PCR แสดงผลเท็จ)​ และจากนั้นพวกเขาก็ถูกกักตัว ไม่ใช่แค่นั้น ข่าวก็จะออกอากาศว่ามีเคสผู้ติดเชื้อใหม่ เมื่อข่าวออกทุกวันๆ ผู้คนจะเริ่มกลัว จึงจะมีคนไปตรวจโควิดมากขึ้น และเนื่องจากค่า CT สูงจึงทำให้เกิดผลบวกหลอกลวงมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า ข่าว จะแจ้งจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น ดังนั้นผู้คนจำนวนมากก็จะกลัวและไปตรวจมากขึ้นอีก ผลบวกที่ผิดก็จะมากขึ้นอีก และสิ่งต่อไปที่จะตามมาคือ… ล็อกดาวน์

เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ รัฐบาลก็จะปิดประเทศ และพวกเราทุกคนตกงาน ธุรกิจ อิสรภาพ และ สุขภาพจิต ของเรา ทุกสิ่งที่คุณสร้างมากับมือ พังทลายหมด ธุรกิจของคุณ อิสระ ทุกอย่าง และทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะค่า CT เพียงแค่การตั้งค่า CT ของการทดสอบ PCR สามารถล็อคและปิดทั้งโลกได้ เรามาทำความเข้าใจค่า CT กันในคลิปนี้

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ที่จะต้องตั้งค่า CT ให้ถูกต้องในการใช้ PCR มันสำคัญมาก! (ซึ่งจริงๆ ไม่ควรใช้ตรวจโรคติดต่อด้วยซ้ำ)

เราจึงเริ่ม รีเสิร์ช ด้วยคำถามสองข้อในใจ:

  1. ค่า CT ที่ถูกต้องที่ต้องใช้คือเท่าไหร่?
  2. ค่า CT ที่โรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการใช้จริงคือเท่าไหร่?

หากคุณได้ดูบทสัมภาษณ์ของ ดร. สุจริต ภักดี ในตอนต้นของบทความนี้แล้ว คุณต้องรู้ว่าค่า CT ที่ถูกต้องควรอยู่ที่ประมาณ 22-27 ถ้ามากกว่านั้น จะทำให้เกิด “ผลบวกลวง” นักวิทยาศาสต์ท่านอื่นๆ ที่เราไปหาข้อมูลมาบางท่านพูดว่า เขาตัดที่ 25

และเราก็ไปเจอวิดีโอสัมภาษณ์ของ Dr. Fauci (ดร. คนนี้เป็นผู้ร้ายนะไม่ใช่ผู้ดี เรามั่นใจว่า คร. คนนี้จะต้องตกนรกตลอดกาล)​
แต่ตามที่ ดร. Anthony Fauci (หัวหน้า CDC ที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลสหรัฐฯเกี่ยวกับ Covid) กล่าวคือ ค่า CT สูงสุดควรตั้งที่ 34 รอบ นั้นคือค่า CT ที่สูงสุด หากแม้แต่ 35 หรืออะไรก็ตามที่มากกว่านั้น จะไม่มีประโยชน์และมีสิทธ์ให้ผลบวกเท็จ (ดูวิดีโอเป็นหลักฐาน)
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ที่เราไว้วางใจ (คนที่ถูกเซ็นเซอร์) พูดว่า 25-27 แต่ดร. Fauci บอกว่า 34! นั่นคือความแตกต่างที่สูงมากๆ หากคุณเข้าใจว่าค่า CT คืออะไร คุณจะเห็นถึงความจงใจเพื่อทำการหลอกลวงประชากรโลก ลองฟัง Dr. Fauci ก่อน

  1.  

ต่อไป คำถามที่ 2 เราอยากรู้ว่าโรงพยาบาลในประเทศไทยเขาใช้ค่า CT ที่เท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงส่งอีเมลไปยังโรงพยาบาล 26 แห่งในประเทศไทย และถาม

โรงพยาบาล 5 แห่งตอบกลับอีเมลของเรา และค่า CT ที่พวกเขาใช้คือ:

1. โรงพยาบาล ที่ 1 ใช้ค่า CT = 30

2. โรงพยาบาล ที่ 2 = 40

3. โรงพยาบาล ที่ 3 = 40

4. โรงพยาบาล ที่ 4 = 36

5. โรงพยาบาล ที่ 5 = 45!

คุณอาจโกรธ และ ผิดหวังกับโรงบาลทั้งหลาย แต่สิ่งที่เราอยากพูดคือ พวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อของการถูกเซ็นเซอร์ข้อมูลเหมือนพวกเราเช่นกัน เพราะต้นเหตุ (ตามที่เราเข้าใจ) มาจาก FDA ซึ่งกำหนดให้ใช้ CT ที่ 40 ถ้าเขาไม่บริสุทธิ์ใจ พวกเขาคงไม่มีวันเปิดเผยข้อมูลนี้ให้เราหรอก

เว็บไซต์ FDA

ผลข้างเคียงของการล็อกดาวน์อันตรายกว่าที่เราคิด

นี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณจะเห็นรัฐบางหรือสื่อออกมาพูดน้อย ผลข้างเคียงของการล็อกดาวน์ ฆ่าชีวิตผู้คนมากว่าผู้เสียชีวิตจากโควิด คุณทราบไหมครับ มันเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ แต่มันกำลังเกิดขึ้นจริง

มีอาจารย์ท่านหนึ่ง (ผมจำชื่อท่านไม่ได้ เดี๋ยวจะไปหามาครับ) ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ท่านทำการวิจัยและได้เขียนหนังเล่มหนึ่งในปี 1981 เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างการว่างงานและการเสียชีวิต นับแต่นั้นมา มีหลายหน่วยงานรัฐได้ทำการวิจัยถึงเรื่องนี้ ซึ่งตัวเลขแตกต่างกันในแต่ละประเทศ

มีอีกเล่มชื่อว่า Economic Issues Today: Alternative Approaches, 8th Edition โดย Robert Carson, Wade Thomas, and Wade Hecht ในปี 2005 พวกท่านแสดงให้เห็นว่า

“ ทุกๆ 1% ของการว่างงานที่เพิ่มขึ้น 37,000 คนเสียชีวิต!

http://www.edhovee.com/edhblog/2020/5/6/more-deaths-from-unemployment-than-covid

แล้วผลจากการล็อกดาว์น ได้ทำให้ผู้คนว่างานเพิ่มขึ้นมากี่ %? คำตอบคือ ใน USA ในเดือนเมษายน 2020 อัตราการว่างงานสูงถึง 14.8% ฉะนั้นถ้าเราเอา 37,000 x 14.8 นั้นหมายความว่า 547,600 คนจะเสียชีวิต สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากอะไร?​

ข้อมูลจากหนังสือปี 2005: “จากการศึกษาหนึ่ง [ฉบับหนึ่งโดย Bluestone et al.] อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์จะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต 37,000 คน (รวมถึงโรคหัวใจจากความเครียด 20,000 คน) การฆ่าตัวตาย 920 คน , การฆาตกรรม 650 คน, และอื่นๆ การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโรคจิต 4,000 แห่งและการเข้าคุก 3,300 คน”

มันไม่จบที่แค่นั้น เราได้เข้าไปอ่านอีกหนึ่งวิจัยแล้วพบว่า เด็กอายุระหว่าง 5-11ปี เป็นโรคซึมเศร่า 150,000,000 คนทั่วโลก ผลการวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา (เราต้องขออภัยเราหาลิงก์นั้นไม่เจอ สัญญาว่าจะรีบไปหามาลงครับ) คำถามคือ เมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นจะมีสักกี่ % ที่ลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย? 1%? เท่ากับ 1.5ล้านคน หรือ 10%? เท่ากับ15ล้านคน ไม่มีใครมีคำตอบ

คุณรู้ไหมว่าใน USA โดยปกติจะมีผู้คนเข้ารับการตรวจสุขภาพ แล้วจะมี 48,000คน โดยเฉลี่ย พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่รักษาทันเพราะเป็นระยะเริ่ม แต่เมื่อล็อกดาวน์เกิดขึ้น ผู้คนไม่ไปทำการตรวจสุขภาพ ในวันที่เขามารู้ตัวอีกที อาจสายไปแล้วหรือป่าว?​ และตัวเลข 48,000 นี้เป็นตัวเลขใน USA เท่านั้น และโรคมะเร็งเท่านั้น

80% ของการผ่าตัดสมองใน USA ถูกระงับ

เมื่อหลายเดือนก่อนเรานั่งแท็กซี่และใด้โอกาสคุยกับคุณลุงคนขับรถ แกเล่าให้ผมฟังว่าลูกชายแก อายุ 39 ไปตรวจพบเส้นเลือดหัวใจอุดตัน หมอแนะนำว่าอย่าผ่าเพราะมีสิทธิติดเชื่อโควิดในขนาดที่ร่างกายอ่อนแอหลังผ่าและอาจเสียชีวิต ผ่านไป 2 สัปดาห์ลูกชายคุณลุงหัวใจวาย เสียชีวิต…

จะต้องมีอีกกี่คนตายก่อน รัฐ และ โรงบาลถึงจะเลิกเล่นเกมส์นี้สักที?

อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้น 34% สุขภาพจิต สุขภาพใจ พังกันไปหมดแล้ว

ทุกอย่างเป็นเพราะ ค่า CT

Prof. Dolores Cahill – นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักชีววิทยาโมเลกุล ที่มีชื่อเสียงระดับโลก – CORONAVIRUS LOCKDOWN ฆ่าคนมากกว่าที่ช่วย

…. ขอพักครับ เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ ข้อมูลในหน้านี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และอาจมีข้อผิดพลาด


3 COMMENTS

  1. The passport vaccine is coming and That is definitely a problem for who is unvaccinated, example we can’t access the public place and supermarket etc. if we allow this to happen we will have a lifetime of jab and booster. We need to share this information. Keep doing what is right

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.